สวัสดีค่า บทความนี้เป็นบทความต่อเนื่องจากบทความ WWOOF Japan ในตอนแรกที่ได้เล่าประสบการณ์การสมัครร่วมโครงการและรีวิวประสบการณ์ของ 2 วันแรกที่มาเป็นเด็กฟาร์มไปแล้ว สำหรับในตอนนี้จะเป็นส่วนของการเข้าร่วมโครงการวูฟในช่วงครึ่งหลัง วันที่ 3 -6 นะคะ

วันที่ 3 : เลี้ยงเด็กน้อยจอมป่วนผู้น่ารัก

เช้านี้ยังคงเป็นอีกเช้าที่สดชื่นและอากาศสดใสมากๆ เสียงนกร้องปลุกให้เราตื่นแต่เช้าค่ะ เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว โฮสก็มาบอกว่าวันนี้เรามีหน้าที่ใหม่ค่ะ

เด็กน้อยแท่น แทน แท๊นนน นั่นก็คือ หนูน้อยนีน่าจัง ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน วัย 4 ขวบ คนนี้นี่เอง และแน่นอนว่าแจ็คพ็อตลงอีกตามเคย แอดมิน “กลัวเด็ก” ค่ะ คือด้วยความที่แอดมินเป็นคนไม่ชอบเห็นคนร้องไห้ และยังเป็นพวกไม่มีมุขตลกๆ ไม่ใช่คนขี้เล่น เลยคิดว่าการเอาเด็กมาอยู่กับเราเด็กคงเบื่อ จึงหลีกเลี่ยงมาตลอด แต่มาคราวนี้คือ ปาดเหงื่อเลยค่ะ ทุกอย่างที่เราไม่ถนัดได้มารวมกันที่นี่แล้ว!

หลังจากเวลาเริ่มงานก็อลม่านสุดๆ เพราะนีนาจังนั้นอยากมีส่วนร่วมกับ ป้าๆ บ้าง แต่ว่าทางโฮสเองก็เลี้ยงน้องอย่างอิสระนะคะ เพียงแต่ให้เราคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยเฉยๆ ช่วงเช้าก็ปล่อยน้องวิ่งเล่นไปตามฟาร์มค่ะ มีให้อาหารปลาบ้าง ไปตกปลากับลูกค้าบ้าง (เอาเข้าไป) เห็นเราฆ่าปลาก็อยากทำบ้าง ซึ่งอันนี้ก็ปล่อยให้ทำด้วยไม่ได้ น้องเลยช่วยเราจับปลาที่มันดิ้นกระแด่วๆ ก่อนนำมาฆ่าค่ะ โอ้ยย เป็นช่วงที่ชุลมุนดีจริงๆ

ผ่านช่วงเช้าไปแล้ว ช่วงบ่ายที่ลูกค้าไม่เยอะ เราจึงรับหน้าที่ดูแลนีน่าจังแบบเต็มรูปแบบค่ะ คือคอยเล่นเป็นเพื่อนอยู่บนบ้าน ซึ่งเราก็ไม่ค่อยรู้ว่าจะเล่นอะไรอยู่ดี ส่วนใหญ่จึงปล่อยให้น้องมานั่งอวดของเล่นค่ะ เช่นรูปวาดที่เขาวาดแล้วมีคนชม เขาก็จะเอามาอวด ชวนเราอ่านหนังสือภาพ นอนกลิ้งเล่นในห้องบ้าง เราก็เลยเนียนแอบสอนภาษาเขาด้วย คือดีใจมากนะคะ คุยกับเด็ก 4 ขวบรู้เรื่อง

หน้าต่างห้องภาพจากหน้าต่างห้องนีน่าจัง ลมพัดเย็นสบายมาก

มาถึงตอนนี้ ในวันแรกส่วนใหญ่เราคุยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นกับคุณป้าเขาค่ะ ภาษาญี่ปุ่นก็ยังง่อยๆ อยู่ วันที่สองพอเริ่มงานก็เริ่มเจอคนที่ไม่ใช่คนในครอบครัวโฮสมากขึ้น ทำให้เราโดนด่าบ้าง ว่าฟังไม่รู้เรื่อง ก็มีหงุดงิดในความไม่รู้ภาษาของเราบ้าง แต่ก็พยายามทำใจสู้ค่ะ เพราะถึงจุดที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงบทสนทนาได้แล้ว ทำให้รู้สึกว่า ไม่ว่าจะรู้หรือไม่คุณก็ต้องอยู่ตรงนั้นให้ได้

และในวันนี้ วันที่ 3 การได้อยู่กับนีน่าจังทำให้เรารู้ว่า ไม่ใช่ว่าเราฟังเขาไม่รู้เรื่อง เพียงแต่ความรู้ของเรายังไม่สามารถเทียบกับคนญี่ปุ่นที่เป็นผู้ใหญ่ได้ ความรู้มันย่อมมีลำดับความเข้าใจเรื่อยๆ ทำให้เรามีกำลังใจในการพูดคุยมากขึ้นค่ะ

เด็กน้อยหลังจากนอนเล่น นั่งเล่นอยู่นานก็ถึงกิจกรรมกลางแจ้งนั่นคือการไล่จับน้องแมว คือไล่จับทั่วบ้าน จนไปลอดใต้ท้องรถ โดนดุไปทีหนึ่งก็ดราม่าไปแป๊บหนึ่ง แล้วกลับมาเล่นต่อ สดใสน่ารักจริงๆ

วันที่ 4 : ต้อนรับวูฟเวอร์คนใหม่และลูกชายของโฮส

วันนี้มี “วูฟเวอร์” คนใหม่มาเป็นชาวฟิลิปปินส์ พูดอังกฤษได้แต่พูดญี่ปุ่นได้เป็นคำๆ เนื่องจากไม่ค่อยเข้าใจภาษาญี่ปุ่นจึงทำงานด้านใน และเราออกมารับลูกค้าช่วยครอบครัวโฮส ที่มีสมาชิกมาเพิ่มก็คือลูกชายคนเล็กของบ้าน อายุไม่ห่างจากเรามาก

ในส่วนของนีน่าจังก็มี “เบบี้ซิสเตอร์” มาดูแลในช่วงเช้าเบาแรงทุกคนได้มาก ดังนั้นในวันที่ 4 ในช่วงเช้าเราจึงได้ช่วยงานฆ่าปลาอีกครั้ง เริ่มชินมากขึ้นและเริ่มคุ้นเคยกับศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่ใช่ และความเร็วในการฟังก็ดีขึ้น เนื่องจากไม่เครียดและกังวลเหมือนแรกๆ อีกทั้งยังมีลูกชายคนเล็กของโฮสมาช่วย พวกงานยกของหนัก เขาก็ช่วยตลอดทำให้เราสบายขึ้นมาก ได้พูดคุยกับมนุษย์ผู้ชายญี่ปุ่นมากขึ้นทำให้สกิลภาษาการพูดคุยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเลยค่ะ เพราะความเร็วและความยากของภาษาผู้ชายทำให้ต้องตั้งใจฟังดีๆ

บ่อเลี้ยงปลาตกเย็นโฮสก็ทำความสะอาดบ่อปลาด้านล่าง ส่วนเรานั้นก็ขึ้นบ้านไปเพื่อทำอาหารเย็น ซึ่งมีปัญหาว่า หุงข้าวไม่สุกจ้า คือข้าวญี่ปุ่นใช้วิธีการหุงไม่เหมือนข้าวไทย แต่ทำยังไงก็ไม่สุกเสียที สุดท้ายก็ต้องให้พ่อหนุ่มลูกชายโฮสมาช่วยกันหุงข้าวแล้วก็นั่งเมาส์ระหว่างรอข้าวสุก ได้ฟีลลิ่งแบบครอบครัวญี่ปุ่นมากๆ มีแอบฝึกภาษาอังกฤษ มีแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันเล็กน้อย เย็นวันนั้นเลยได้ทานข้าวแบบตามมีตามเกิดเพราะ ทั้งคู่สกิลการทำอาหารไม่ต่างกันเลย (ฮา)

คืนนี้เป็นคืนที่ลูกชายโฮสจะมาค้างกับเราด้วย โดยพักอยู่ห้องข้างๆ นอนกับนีน่าจัง ช่วงที่เขาอาบน้ ำเราก็ช่วยดูน้องให้เลยทำการจัดที่นอนให้เขาไปเลยทีเดียว สลับกันดูแลน้องไปด้วย

    วันที่ 5 : วันสุดท้ายของการทำงาน

วันนี้ทุกคนยังอยู่กันครบได้แก่ โฮส ลูกชายโฮส เรา และวูฟเฟอร์จากฟิลิปปินส์ วันนี้ทุกอย่างหนักหน่วงมากเพราะเป็นวันหยุดสุดท้ายของช่วงหยุดยาว ลูกค้าก็แห่มาตกปลากันอย่างบ้าคลั่ง(เวอร์ไป) หน้าที่นั้นเหมือนเมื่อวานคือ เราช่วยที่ร้าน วูฟเฟอร์อีกคนก็ช่วยเลี้ยงน้อง ส่วนหนุ่มน้อยลูกของโฮสก็มาช่วยที่ร้านเช่นกัน เมื่องานทุกอย่างเสร็จเราก็รอทานอาหารเย็น เนื่องจากว่าวันนี้จะไปทานข้าวข้างนอกกัน

ที่จอดรถของฟาร์มช่วงเย็นหลังจากอาบน้ำปะแป้งล้างกลิ่นคาวปลาติดตัวแล้ว เราก็มาเดินเล่นกันอีกรอบ เพื่อเก็บความเป็นธรรมชาติแบบนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับในวันพรุ่งนี้

ดอกไม้ทิวทัศน์รอบๆ นั้นประกอบด้วยต้นสนใหญ่และดอกไม้นานาชนิด ไม่ใช่แค่เพียงในบริเวณบ้าน

ดอกไม้เมื่อเราเดินลึกเข้าไปด้วยถนนที่ลึกขึ้นไปในป่าก็พบกับสะพานที่เป็นส่วนของลำธารอยู่ด้วย แต่เข้าไปลึกกว่านั้นไม่ได้เพราะเป็นป่ารกชัก

ดอกไม้อย่างไรก็ตามทำให้เราได้เห็นธรรมชาติที่เป็นของจริง ทั้งดอกไม้ ใบหญ้าต้นไม้อีกหลายชนิด ผลไม้ป่าที่เราได้เจอทำให้เรารู้สึกว่าป่านี่มันดีจริงๆ นะ

หลังจากฟ้ามืดแล้วก็มานั่งคุยกับเพื่อนร่วมห้องไปพลางๆ ส่วนหนุ่มคนเดียวในบ้านก็อาบน้ำเป็นคิวสุดท้าย (ไม่ชินในการที่มีผู้ชายที่ไม่ใช่พ่ออยู่ในบ้าน) ก็เริ่มมึนๆ กับการสลับสวิตช์ภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษ เพราะอีกฝ่ายพูดอังกฤษปร๋อ และเราที่เริ่มชินกับภาษาญี่ปุ่นก็กลับตัวไม่ทันเลยคราวนี้

รอไม่นานนักก็ได้เวลาออกไปทานข้าวกัน โดยมีรถ 2 คัน คือรถของโฮสและรถของลูกชายโฮส ซึ่งมีนีน่าจังนั่งมาด้วย เรานั่งคันเดียวกับเด็กน้อย ส่วนโฮสก็แยกไปกับวูฟเฟอร์อีกคน เพราะต้องไปรับคุณแม่ของโฮสด้วย

ใช้เวลานั่งรถไม่ถึง 10 นาทีเข้าเมืองมาแล้ว เราก็ไปรวมตัวกันที่ร้านซูชิ ซึ่งได้เจอทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาว (แม่ของนีน่าจัง) ที่มีลูกในวัยเด็กอ่อนอีกคน เป็นการทานข้าวกับครอบครัวที่ใหญ่มากกกก เราก็ทานๆ กันแบบอิ่มทั้งท้องอิ่มทั้งใจ เพราะทางโฮสเขาก็ขอบคุณที่เรามาช่วยงานและดูแลนีน่าจังด้วยตลอดเกือบอาทิตย์ บอกว่ายังไม่อยากให้กลับเลย แอบน้ำตาซึม T Tไดอารี่

หลังจากทานข้าวแล้วก็ร่ำลาหลายๆ คนอย่างอาลัยอาวร เพราะในวันรุ่งขึั้นจะมีเพียงโฮสที่ไปส่งเราที่สถานี เราจะไม่ได้พบครอบครัวนี้อีกแล้ว คิดแล้วก็เศร้าเนอะ

หลังจากนั้นก็กลับมาที่พักและทำการเก็บของให้เรียบร้อย ก็มานั่งเขียนไดอารี่ประจำวัน ซึ่งเป็นสมุดจดไดอารี่เล็กๆ ที่เรามักจะนำมาเขียนประสบการณ์ในทุกๆ วัน เล่าเรื่องรางต่างๆ ที่เกิดขึ้นเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ…

        วันที่ 6 : และแล้วก็มาถึง…สุดท้ายของการอำลา

เช้าวันสุดท้ายของการมาทำวูฟ เราตื่นแต่เช้า เตรียมอาหารเช้ากับวูฟเวอร์อีกคน เก็บของเช็คของอะไรเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลา 10 โมงเช้า โฮสก็มารับไปส่งที่สถานี ระหว่างนั้นก็คุยเรื่องสัพเพเหระว่าชอบอะไรที่อิบารากิบ้าง ถ้ามาที่นี่อีกก็อย่าลืมติดต่อมานะอะไรแบบนี้ และร่ำลากันที่สถานี Hitachi-Ota เพื่อเดินทางกลับโตเกียว

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอด 6 วัน ทำให้เราคุ้นเคยกับคนญี่ปุ่นมากขึ้น ได้เจอคนทุกเพศทุกวัย สัมผัสความเป็นครอบครัว วิถีชีวิต และเข้าใจคนญี่ปุ่นมากขึ้น จากที่เราเคยกลัวคนญี่ปุ่น ไม่กล้าจะเข้าหาและไม่อยากพูดด้วย กำแพงนั้นเริ่มลดลงและเริ่มกล้าที่จะพูดมากขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

กระเป๋าคู่ใจนี่ก็เป็นหนึ่งในประสบการณ์ดีๆ จากญี่ปุ่นที่แอดมินได้เจอจากโครงการ WWOOF Japan ค่ะ ซึ่งแน่นอนว่านักท่องเที่ยวก็สามารถมีประสบการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน โฮสส่วนใหญ่พูดอังกฤษได้อย่างดีเลย เรื่องภาษาไม่มีปัญหาค่ะ ทุกคนเมื่อพบกันก็เริ่มจาก 0 ทุกคน และค่อยๆ สร้างและพัฒนาทั้งเรื่องความสัมพันธ์และภาษาไปด้วยกัน ใครสนใจลองดูได้นะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่า

บทความเที่ยวอิบารากิ

・ วิธีการเดินทางไปชมทุ่งดอกไม้ที่ Hitachi Seaside Park จ.อิบารากิ
・ [รีวิว] บุกสวน Hitachi Seaside Park ชมทุ่ง Nemophila (ตอนแรก)
[รีวิว] บุกสวน Hitachi Seaside Park ชมทุ่ง Nemophila (ตอนจบ)

รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com