สวัสดีค่า ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นก็มีฝนสลับกับแดด แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางแดดเสียมากกว่า ทำให้เรานึกถึงประสบการณ์ชีวิตในญี่ปุ่นอีกอย่างหนึ่งที่เราอยากจะนำมาเล่าสู่กันฟัง และก็ตามหัวข้อเลยค่ะ นั่นคือการเข้าร่วมกิจกรรมกับโครงการ “WWOOF Japan” หรือ “WWOOFing” หรือที่คนไทยเรียกกันสั้นๆ ว่า “วูฟ” ค่ะ
ทำไมเราถึงอยากร่วมกิจกรรม “WWOOF Japan”?
เนื่องจากเมื่อ 2 ปีก่อน เราติดอาการตกใจเวลามีคนคุยภาษาญี่ปุ่นใส่แล้วพูดตอบไม่ได้ คือประมวลผลช้ามาก กว่าจะเข้าใจความหมาย ต้องแปลจากญี่ปุ่นเป็นไทยในหัว แล้วตอนพูดตอบต้องคิดจากไทยเป็นญี่ปุ่น แล้วต้องนึกไวยกรณ์เวลาพูดด้วย (พูดผิดชีวิตเปลี่ยน)
ภาษาญี่ปุ่นมันจะมีโครงสร้างที่กำหนดความหมาย จึงต้องพูดแบบนึกไวยกรณ์ไปด้วยเวลาพูด ดังนั้นกว่าจะพูดตอบก็ช้ามากจนคนฟังดูหงุดหงิดๆ ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไม่พูดตอบโต้จนติดเป็นนิสัย และหน้าก็เอ๋อมากๆ ทำให้รู้สึกกลัวคนญี่ปุ่นไม่กล้าคุยด้วย เหมือนเป็นคนใบ้ค่ะ เป็นแบบนี้มาเกือบ 3 เดือน ทำให้รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง จึงตัดสินใจไปวูฟหรือที่เรียกกันว่า “WWOOFing” แบบหนามยอกเอาหนามบ่ง กลัวมากก็ต้องจับตัวเองไปอยู่กับคนญี่ปุ่นให้เข็ดเลยค่ะ
WWOOF คือ อะไร?
WWOOF (World Wide Opportunities on Organic Farm) เป็นโครงการแลกเปลี่ยนสัมพันธภาพแบบนานาชาติ ที่มุ่งเน้นไปทางด้านการใช้ชีวิตในฟาร์มออร์แกนิคต่างๆ ซึ่งจะสามารถเรียนรู้ทั้งวิถีชีวิต ภาษาและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นได้อีกด้วย ซึ่ง “WWOOF” นั้นก็มีโครงการอยู่หลายประเทศทั่วโลก อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น เป็นต้น
โครงการนี้จะประกอบไปด้วย “Host” ซึ่งก็คือเจ้าของฟาร์มหรือเจ้าบ้านที่จะรับ “WWOOFer” ผู้มาเยือน โดยทาง “WWOOFer” จะเป็นฝ่ายเลือกโฮส เพื่อทำการตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายนั่นเอง โดยเราจะได้ที่พักและอาหารจากโฮส แต่เราต้องช่วยทำงานให้กับเค้าค่ะ ซึ่งไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน ทั้งนี้เราจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากไทยไปญี่ปุ่น รวมถึงการเดินทางภายในประเทศญี่ปุ่นเองด้วยนะคะ
วิธีสมัครเข้าร่วมโครงการ WWOOF Japan
ก่อนอื่นต้องเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกของเว็ปไซต์ www.wwoofjapan.com (ภาษาอังกฤษ) จริงๆ จะมีของประเทศอื่นด้วยแต่เราสมัครของญี่ปุ่นไปค่ะ โดยจะมีค่าสมาชิกรายปีอยู่ที่ 5,500 เยน เราถึงจะเห็นรายละเอียดของโฮสในแต่ละที่ได้ หลังจากสมัครแล้วก็เลือกประเภทงาน สถานที่ และระยะเวลา รวมถึงคุณสมบัติให้ตรงกันทั้งสองฝั่งด้วย เมื่อเลือกเรียบร้อยแล้วก็ติดต่อกับทางโฮสโดยตรงเลยค่ะ สำหรับคนที่จะเดินทางมาจากประเทศไทย ถ้าไม่ได้ขอวีซ่ามาก็จะสามารถพำนักอยู่ในญี่ปุ่นไม่เกิน 15 วันแบบนักท่องเที่ยวทั่วไปนะคะ
ส่วนตัวแอดมินเองนั้นเลือกจังหวัดอิบารากิเพราะชื่นชอบธรรมชาติแถวๆ นั้น คือมันต่างจากโตเกียวเมืองหลวงมากๆ เลย (ชอบ อิ อิ) และเดินทางไม่ไกลจากโตเกียวด้วยค่ะ พอเลือกงานแล้วก็เหลือแค่เดินทางแล้วค่ะ
เราเดินทางออกจากโตเกียวแต่เช้า ใช้เวลาเข้ามาถึงตัวจังหวัดอิบารากิประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ยังไม่พอค่ะ เราต้องต่อรถไฟสายหวานเย็นเข้าไปที่เมืองที่มีฟาร์มที่เราเลือกอีก นั่งยาวๆ สุดสายอีก 1 ชั่วโมง
นี่คือหน้าตารถไฟสายหวานเย็น มีสีสันเสียด้วย เป็นระบบอัตโนมือ คือหากต้องการขึ้นหรือลงรถไฟต้องกดปุ่มกลมๆ ด้านข้างประตูค่ะ ไม่งั้นก็ยืนรอไป ยังไงก็ไม่เปิด และด้วยความที่ต่างชาติอย่างเราชินกับระบบในโตเกียวนี่ก็ยืนรอนานมาก ประตูไม่ยอมเปิด 555 อายเลย แต่พออยู่ญี่ปุ่นนานๆ เข้า ก็พอรู้แล้วค่ะว่าทำไมไม่เปิดอัตโนมัติ เพราะบางสถานีจอดนานมาก และตอนหน้าหนาวมันจะทำให้อากาศหนาวเข้ามาด้านในด้วย เลยต้องไม่เปิดประตูรอ แบบนี้เราว่าก็ดีนะคะ ปรับไปตามการใช้งานในแต่ละพื้นที่
เนื่องจากว่ารถไฟวิ่งช้ามากจนอยากให้คนขับสาย 8 แฮปปี้แลนด์มาขับแทนก็ได้ ชมบ้านแถวๆ ข้างทางไปด้วย บานแถวนี้สวยโมเดิร์นกว่าในโตเกียวมากมาย เราค่อนข้างชอบด้วย รูปร่างมันก็จะแปลกหน่อยๆ
แลนด์มาร์คของแถวนี้ค่า…กำลังรกได้ที่เชียววว แต่ก็รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติดีเนอะ เตรียมตัวไปฟาร์มธรรมชาติก็ต้องแบบนี้ล่ะค่ะ
หลังจากชมความงามและแลนด์มาร์คอันธรรมชาติ(มาก) ถ้ามีควายอยู่ด้วยจะครบครันมาก อิ อิ ในที่สุดก็มาถึงสถานีจุดหมายแล้วค่าาา เราก็ต้องเข้าไปนั่งรอโฮสด้านในห้องพักรอรถ เข้าใจเลยว่าทำไมห้องถึงได้กว้างขนาดนี้ เพราะว่าน๊านนน นานน กว่ารถไฟจะมาสักคัน
วันที่ 1 : วันที่ทุกอย่างคือสิ่งแปลกใหม่
ไม่นานเกินรอก็มีคุณป้าตัวเล็กๆ ท่าทางคล่องแคล่วเข้ามาทักเราเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมด้วยรถคันนี้ค่ะ อย่างแรกเลย ที่นั่งแคบมากกก แต่ก็พอดีกับคุณป้าเขาล่ะค่ะ
คือเราอ่ะค่อนข้างตัวโตเมื่อเทียบกับคนญี่ปุ่นแท้ๆ (สมัยก่อนโดยเฉลี่ยส่วนสูงคนญี่ปุ่นอยู่แค่ 150 cm เท่านั้น) ซึ่งแน่นอนว่าแถบชนบทความสูงจะไม่เปลี่ยนแปลงมากเท่ากับคนในเมือง รถคันนี้เลยเล็กไปสำหรับเรา ระหว่างทางก็มีการแนะนำชื่อกันเล็กน้อย แต่เรายังพูดอังกฤษแบบครึ่งๆ กลางๆ กับคุณป้าอยู่ ซิ่งประมาณ 10 นาทีคุณป้าก็พาเรามาถึงฟาร์มค่ะ
เมื่อมองออกไปตรงทางเข้าฟาร์มก็เป็นถนนที่โล่งๆ แบบนี้ค่ะ ไม่มีรั้วกั้น เป็นบริเวณกว้างยาวสุดซอย สิ่งก่อสร้างด้านหน้าหากจำไม่ผิด นั่นคือโรงสีข้าวและโรงเก็บเครื่องมือการเกษตรที่มีรถใหญ่อยู่ด้วย ด้านในก็มีรถหลายคันค่ะ เป็นฟาร์มหนึ่งที่ค่อนข้างครับครันในเรื่องการเพาะปลูกตลอดทั้งปี ช่วงนอกฤดูทำนาก็มีสวนผักที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนปลูกกันตลอดทั้งปีค่ะ คล้ายๆ กับโมเดลเกษตรพอเพียง เพียงแต่ว่าฟาร์มเลี้ยงปลาของที่บ้านนี้จะแยกอยู่อีกบริเวณค่ะ
ส่วนนี้เป็นส่วนของโรงเรือนค่ะ แต่ละโรงเรือนก็จะปลูกพืชแตกต่างกันไป โรงด้านหน้าสุดเอาไว้เก็บอุปกรณ์ มีโซนเตรียมดิน แล้วก็โซนที่จะนำไปเพาะพันธุ์ในปีต่อๆ ไปด้วย
นี่คือโซนโรงเรือนที่เตรียมดินเอาไว้ค่ะ ข้างในร้อนมากกก เพราะไม่มีที่ระบายอากาศ
ส่วนด้านหน้าก็มีสวนผักแบบง่ายๆ ไม่ได้พิถีพิถันมาก แต่ครับครัน มีผักนานาชนิด เหมาะสำหรับเก็บบริโภคค่ะ เหลือก็ขายได้ เน้นความหลากหลายนั่นเอง
และนี่คืองานแรกของเราค่ะ การเพาะกล้าต้นสตรอเบอร์รี่ ต้นกล้านั้นก็เด็ดจากโรงเรือนที่มีต้นโตเต็มที่ของสตรอเบอร์รี่อยู่ แล้วเจ้าของฟาร์มก็สอนให้เราดูตากิ่งค่ะ เด็ดก้านตรงใต้ตากิ่งลงไปเล็กน้อย นำไปลงดินเพาะที่คุณป้าผสมไว้ให้ค่ะ แล้วเราก็นำมาใส่กระถางเพาะ คือคุณป้าทำกันเป็นเรื่องง่ายมาก แกถอนๆ ถากๆ จิ้มๆ ปักให้ดู เสร็จอย่างรวดเร็ว ส่วนเราก็ค่อยๆ ทำเพราะกลัวทำต้นของเขาตายค่ะ และนี่คือผลงานของเราเอง อิ อิ อยากเห็นตอนมันโตมากๆ
สวนต้นหอมญี่ปุ่นบ้านข้างๆ แบบไม่มีรั้วกั้น ใช้คันคลองเป็นเส้นแบ่งบริเวณที่ดิน
หน้าที่ต่อไปก็คือการมัดแบ่ง “ผักกาดเขียว” เป็นกำๆ แปะสติกเกอร์ใส่ถุงให้สวยงาม งานนี้ไม่ยากค่ะ แต่ก็ทำให้รู้ว่า คนญี่ปุ่นเขามีวิธีการแพ็คที่ง่ายๆ แต่ดูดี หากเป็นบ้านเราก็แพ็คแบบสามารถนำมาขึ้นห้างได้เลย
ธรรมชาติข้างทางบริเวณรอบๆ ฟาร์ม
นอกจากนี้ก็มีการแพ็คต้นหอมด้วย เอาแบบสวยๆ เบอร์ไหนต้นเล็ก ผักกาดต้นเล็ก ก็จะเก็บเอาไว้ทานเองค่ะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อของเลย แพ็คเสร็จแล้วเราก็ขับรถไปสหกรณ์เมือง เพื่อนำของไปวางขาย ของที่ฟาร์มเอาของไปขายวันนี้ก็มีผักกาดกับต้นหอมญี่ปุ่นค่ะ สหกรณ์เมืองก็น่ารักมีของจากเกษตกรวางขายเต็มไปหมด ซึ่งเป็นคำตอบว่าทำไมที่สวนถึงมีการปลูกพืชผักหลายชนิด เพราะจะได้มีของขายได้ตลอดทั้งปีนั่นเอง
นี่คือที่พักของเราตลอดทั้งอาทิตย์นี้ค่ะ เป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่ที่เราต้องนอนคนเดียว! คิดว่าในอดีตน่าจะเป็นคล้ายๆ บ้านพักต่างอากาศค่ะ เพราะรอบๆ ไม่มีบ้านคนเลย รอบล้อมด้วยป่า ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณโทรศัพท์!
ในส่วนของด้านหน้าเป็นฟาร์มีเลี้ยงปลาธรรมชาติที่เลี้ยงด้วยน้ำตกจากภูเขาค่ะ ด้านบนขึ้นไปจะเจอเส้นลำธารจากภูเขาที่ใสและเย็นมากก งานนี้เราเลยได้พักบ้านพักท่ามกลางธรรมชาติของจริงเลย
ส่วนงานของเราในช่วงเย็นนี้คือการทำความสะอาดบ้านค่ะ เพราะว่าเจ้าของบ้านจะอยู่อีกบ้านหนึ่ง บ้านนี้จะไม่ค่อยมีคนมาอยู่นานๆ ทีถึงจะมาอยู่กันสักที และเนื่องจากช่วงที่เราไปนั้นจะเป็นช่วงหยุดยาวของญี่ปุ่น เราจึงได้มาช่วยงานที่ฟาร์มเลี้ยงปลาธรรมชาติ ณ ที่แห่งนี้เป็นหลักค่ะ
ส่วนนี่คือบ้านที่เราต้องทำความสะอาดค่า! คือใหญ่มากๆ ไม่รวมห้องครัวกับห้องนอนด้วย กว่าจะเสร็จก็เกือบสี่ทุ่มเลย จริงๆ เขาให้เวลาเราแบบไม่ซีเรียสนะคะ แบบเก็บกวาดให้พออยู่ได้อะไรแบบนั้นก็พอ แต่ติดที่ว่าเป็นคนที่จริงจังกับการทำความสะอาดมากๆ เลยลากยาว
เมื่อทำไปได้พักใหญ่เราก็พบว่า เจ้าของบ้านเป็นคนที่มีนิสัยชอบอ่าน มีความเป็นบันฑิตไม่น้อยทีเดียว เพราะเราพบกับหนังสือเก่าๆ มากมายทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ และหากมองดูแล้วประเทศญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยรับกับภาษาต่างชาติ แต่บ้านนี้กลับมีหนังสือภาษาอังกฤษมากมาย หลากหลายแนว ก็ทำให้รู้สึกทึ่งไปเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีของเก่าหลายชิ้น บางชิ้นก็เป็นของที่ระลึกจากประเทศที่เจ้าของบ้านไปเที่ยวมาด้วยนะคะ
ในส่วนของห้องน้ำและห้องอาบน้ำเป็นแบบญี่ปุ่นที่รีโนเวทใหม่ แนวโทนไม้อบอุ่นๆ ในหน้าหนาว กลิ่นไม้สนกับการแช่น้ำทำให้เราฟินอย่างมาก หลังจากที่ทำงานเหนียวตัวมาทั้งวัน
ในส่วนของอาหารการกินนั้นก็ทานอะไรก็ได้ค่ะ คือด้วยความที่เป็นคนทานไม่เยอะ(เหรอ) ก็เลยทำแซลมอนย่างเกลือง่ายปริมาณไม่มากแต่ก็พอดีท้อง อิ อิ
และนี่คือห้องที่เราจะต้องพักค่ะ มีฟูกหลายชิ้น แต่ว่าอันที่ดูมุ้งมิ้งหน่อยจะเป็นของเด็กน้อยหลานเจ้าของฟาร์มค่ะ ซึ่งเราจะได้พบน้องในวันพรุ่งนี้
โซนนี้จะเป็นห้องญี่ปุ่นติดกันสองห้องค่ะ เชื่อมกันด้วยประตูบานเลือน เราก็เปิดแล้ววิ่งเล่นสนุกเลยทั้งบ้านอยู่คนเดียว 555 ปูฟูกเสร็จแล้วก็พร้อมนอนล่ะค่ะ บนหัวมีฮีตเตอร์ขนาดพกพาด้วยก็ตามประสาบ้านโบราณไม่มีเครื่องปรับอากาศค่ะ เพราะว่าเป็นบ้านกลางป่า ขนาดหมดช่วงหน้าหนาวแล้วแต่กลางคืนก็เย็นมากๆ ป่าสนตอนกลางคืนนี่เย็นสุดๆ
การพักผ่อนที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือการที่ได้นั่งชมดาวและพระจันทร์ท่ามกล่างป่าเขาและเสียงลำธาร เย็นและเงียบมากๆ แต่ก็มีสงบมากด้วยเช่นกัน เป็นบรรยากาศที่หาได้ยากยิ่งในเมือง เพราะไม่มีแสงไฟสอดแทรกเข้ามาเลย ตรงระเบียงบ้านของเราก็ไม่มีไฟหน้าบ้านนะคะ มีแต่ไฟในบ้าน จริงๆ ก็แอบกลัวด้วยไม่รู้จะมีสัตว์ป่าออกมามั้ย แต่ว่าชมธรรมชาติไปๆ มาๆ ก็ลืมไปเล้ยย
วันที่ 2: คนกลัวปลา! กับงานที่ฟาร์มเลี้ยงปลา!
และเนื่องจากว่างานของเราจะเริ่มในเวลา 10:00 น. เป็นต้นไป ช่วงเช้าเราจึงมีช่วงพักผ่อนทานอาหารเช้าง่ายๆ (ทำเอง) จิบกาแฟและชมสวนดอกไม้ใบหญ้าหน้าบ้าน อากาศสดชื่นแบบนี้ ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เลย
น้ำค้างดอกหญ้านี้เราก็ไม่ได้เห็นมานานแล้วตั้งแต่สมัยเด็กที่อยู่เชียงใหม่ ได้มาเจอบรรยากาศแบบนี้ ทำเอาไม่อยากลุกไปไหนซะแล้ว
หน้าบ้านนอกจากจะมีดอกไม้ที่กำลังบานสะพรั่งแล้ว ยังมีสมุนไพร พืชผักสวนครัวที่นำมาทำอาหารได้เลยอีกด้วย
เช้านี้เราก็ได้เจอสมาชิกเจ้าถิ่นของบ้านนี้ค่ะ จริงๆ มีน้องหมาอีกตัวแต่ว่านางป่วยอยู่และอายุเยอะมากแล้ว เจ้าของเองก็บอกว่าอย่าเข้าใกล้มาก คาดว่าไม่คุ้นกับคนแปลกหน้า ส่วนเราก็รักทั้งหมาทั้งแมว เคยเลี้ยงทั้งคู่ งานนี้ก็เริ่มไม่เหงาแล้ว จริงมั้ย ^^
และแล้วก็ถึงเวลาทำงานค่ะ ที่ทำงานของเราในวันที่ 2 คือฟาร์มเลี้ยงปลาธรรมชาติแห่งนี้นั่นเอง จุดนี้จะเป็นบริเวณที่จอดรถของนักตกปลาทั้งหลายค่ะ ประเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังนะคะว่าฟาร์มปลากับการตกปลานั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ส่วนเราที่เดินจากบ้านพักก็เพียงแค่เดินข้ามฝั่งถนนลงไปฝั่งบ่อเลี้ยงเท่านั้นเองค่ะ เดินไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ
ในฟาร์มปลาธรรมชาตินี้เลี้ยงด้วยน้ำลำธารจากภูเขา ดังนั้นจึงมีความอร่อยไม่แพ้ปลาในธรรมชาติ บ่อที่ติดถนนจะเป็นบ่อเลี้ยงที่ให้ให้น้ำและให้อาหารค่ะ จะมีอยู่สองบ่อเป็นปลาชนิดละหนึ่งบ่อ ส่วนสองบ่อด้านล่างนั้นคือบ่อสำหรับให้ลูกค้ามาตกปลาค่ะ ซึ่งสามารถตกได้นานเท่าไหร่ก็ได้ การคิดราคาก็คิดตามจำนวนปลาที่ตกได้นั่นเอง ในส่วนของเหยื่อตกปลา ทางร้านจะขายให้ กำละ 200 เยน ในส่วนของเบ็ดนั้นที่ฟาร์มจะทำเป็นเบ็ดไม้ไผ่ง่ายๆ เตรียมเอาไว้ให้ค่ะ
ในส่วนงานที่เราได้รับมอบหมายในวันนี้คือ การฆ่าปลาที่ลูกค้าจับมาได้ค่ะ ซึ่งจะสามารถนำกลับไปปรุงเองที่บ้าน หรือว่าทานที่นี่เลยก็ได้ ที่ฟาร์มจะทำการฆ่าและทำความสะอาดให้พร้อมปรุงค่ะ
แล้วก็มีเครื่องดื่มง่ายๆ อย่างเบียร์ รามูเนะ (น้ำโซดา) และกับแกล้มอื่นๆ ลูกค้าที่มาตกปลา นอกจากจะได้ความสนุก ได้ทำกิจกรรมกับครอบครัวแล้ว จะได้ทานปลาที่ทำสดๆ แบบขึ้นจากบ่อก็ทำให้ทานเลยทันที ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ครอบครัวคนญี่ปุ่นชอบมากค่ะ
แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า “แอดมินกลัวปลา!” ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ แอดมินนั้นกลัวปลามาตั้งแต่เด็กเนื่องจากเคยโดนครีบปลานิลตำมือ (แต่ตอนนั้นเข้าใจว่ามันกัด) เลยกลัวตั้งแต่นั้นมา แต่มาตอนนี้…ต้องมาฆ่าปลาสดๆ ดิ้นกระแด่วๆ ตลอด 5 วัน คือกลัวก็กลัว ก็ต้องทำไปแบบกลัวๆ นั่นแหละ ฆ่าไปก็ต้องขอโทษ ขออโหสิกรรมได้ด้วย TT ซึ่งงานในวันนี้ก็จบด้วยการฆ่าปลาตลอด 6 ชม.
วันนี้ขอจบบทความ WWOOF Japan ไว้เพียงเท่านี้ รอติดตามอ่านรีวิววันที่เหลือกันต่อได้ในบทความถัดไปนะคะ ^^
อ่านตอนจบ > WWOOF Japan : รีวิวประสบการณ์วูฟที่ญีปุ่นครั้งแรกในชีวิต ช่วยโฮสเลี้ยงเด็กน้อย (ตอนจบ)
บทความเที่ยวอิบารากิ
・ วิธีการเดินทางไปชมทุ่งดอกไม้ที่ Hitachi Seaside Park จ.อิบารากิ
・ [รีวิว] บุกสวน Hitachi Seaside Park ชมทุ่ง Nemophila (ตอนแรก)
・ [รีวิว] บุกสวน Hitachi Seaside Park ชมทุ่ง Nemophila (ตอนจบ)
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com