หลังจากที่เราพาไปเที่ยวรอบนอกของเมืองเซนได (Sendai) ในจังหวัดมิยางิ (Miyagi) กันแล้ว ตอนนี้เราจะพาเที่ยวในตัวเมืองกันบ้างนะคะ และเนื่องจากว่าเรามีเวลาในการเที่ยวจำกัด จึงได้รวมรวมการท่องเที่ยวแบบที่หลายคนน่าจะชอบคือ การท่องเที่ยวตัวเมืองเซนไดใน 1 วัน (One Day in Sendai)

โดยแวะชมสถานที่สำคัญของเมือง เช่น ปราสาทเซนได หาของอร่อยๆ ทาน และแวะช้อปปิ้ง เผื่อว่าจะเป็นแนวทางการในการท่องเที่ยวให้กับเพื่อนๆ ค่ะ ก่อนอื่นเราขอแนะนำตัวช่วยในกาเที่ยวในเมืองเซนไดค่ะ นั่นก็คือ “Loople Sendai”

Loople Sendai
loople-sendai.jp

Loople Sendai คืออะไร?

Loople Sendai คือ รถบัสท่องเที่ยวของเมืองเซนได ซึ่งจะจอดตามจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วเมืองตามที่เราได้เห็นตัวอย่างตามแผนที่ด้านบนนี้ค่ะ เช่น สถานี Sendai, ที่ตั้งปราสาทเซนได (Site of Sendai Castle) เป็นต้น

ค่าโดยสารปกติ (ต่อเที่ยว)
ผู้ใหญ่
(อายุ 12 ปีขึ้นไป) : ราคา 260 เยน
เด็ก
: ราคา 130 เยน

จุดขึ้นรถที่สถานี Sendai
ขึ้นรถได้ที่ Bus Stop No.16 West Exit ซึ่งเราจะเจอ Window Ticket อยู่ในบริเวณใกล้กัน

Loople Sendai Pass

เป็นบัตรรถบัสแบบเหมาจ่าย 1 วัน ที่จะสามารถขึ้นรถบัสที่เข้าร่วมรายการกี่รอบก็ได้ไม่จำกัด ภายในเวลา 1 วัน ถือเป็นตัวช่วยอย่างดีในการประหยัดค่าเดินทางค่ะ สำหรับคนที่จะไปเที่ยวหลายๆ ที่ แนะนำให้ซื้อพาสจะคุมกว่าค่ะ พาสนี้มีให้เลือก 2 แบบ คือ สำหรับขึ้นรถบัสอย่างเดียว หรือ สำหรับขึ้นรถบัสและรถไฟใต้ดินค่ะ

One-Day Loople Sendai Pass
ผู้ใหญ่
(อายุ 12 ปีขึ้นไป) : ราคา 620 เยน
เด็ก
: ราคา 310 เยน
*สามารถใช้ได้เฉพาะรถบัส Loople Sendai เท่านั้นไม่สามารถใช้กับรถบัสสายอื่นๆ ในท้องถิ่นได้

One-Day Pass for Loople Sendai Bus and Subway
ผู้ใหญ่
(อายุ 12 ปีขึ้นไป) : ราคา 900 เยน
เด็ก
: ราคา 450 เยน
*สามารถใช้ได้เฉพาะรถบัสสาย Loople Bus และรถไฟสาย Tozai Subway Line, Numboku Subway Line เท่านั้น ไม่สามารถใช้กับรถบัสหรือรถไฟท้องถิ่นอื่นๆ ได้

วิธีการโดยสารรถ Loople Sendai

ขึ้นทางประตูกลางและลงทางประตูหน้า ให้โชว์พาสให้คนขับดูตอนลงรถ หรือจ่ายเงินในตอนลงรถ สามารถใช้ IC Card ที่ร่วมรายการ (icsca ,Suica, PASMO) แตะจ่ายเงินตรงเครื่องอ่านก็ได้เช่นกัน

ตารางการเดินรถ Loople Sendai

รถเที่ยวแรกออกวิ่งจากสถานี Sendai คือ 9:00 น. และเที่ยวสุดท้าย คือ 16:00 น. ในส่วนของตารางการเดินรถแต่ละเที่ยวนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ตารางรถแบบวันธรรมดา และ ตารางสำหรับวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งรอบรถจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เนื่องจากในวันธรรมดาจะมีรถวิ่งทุกๆ 20 นาที แต่ว่าในวันหยุดจะมีรถวิ่งทุกๆ 15 นาที ฉะนั้นขอแนะนำให้ผู้ที่มาท่องเที่ยวนอกจากจะเช็ควันหยุดสุดสัปดาห์แล้ว ต้องตรวจสอบว่าเป็นวันหยุดนขัตกฤษด้วยหรือไม่ค่ะ

ดาวโหลดไฟล์ PDF ได้ที่ loople-sendai.jp

ตารางเดินรถวันธรรมดา

ดาวโหลดไฟล์ PDF ได้ที่ loople-sendai.jp

ตารางเดินรถวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์


รีวิวการท่องเที่ยวเมืองเซนไดภายใน 1 วัน

หลายๆ ท่านคงเคยเห็นรีวิวการท่องเที่ยวโดยการใช้รถบัสหรือพาสตัวใดตัวหนึ่งในการเที่ยวอย่างแน่นอน แต่ว่าตัวแอดมินจะลองเที่ยวแบบไม่ใช้พาสใดๆ ใช้นั่งรถไฟธรรมดา และที่เหลือเดินเท้าค่ะ มาดูกันว่าจะใช้ได้มั้ย อิ อิ นำไปประกอบการตัดสินใจได้ดีค่ะ

ส่วนตัวเราเริ่มจากสถานี Sendai โดยที่แรกที่จะไปคือ Aoba Castle หรือที่รู้จักกันในชื่อ Sendai Castle ปราสาทเก่าแก่ของเมืองเซนไดที่ถูกเผาทำลายไปแล้ว แต่ว่ายังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่หลายๆ คนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังสามารถชมวิวด้านบนได้อีกด้วย การเดินทางโดยรถไฟนั้นสามารถเดินทางจาก สถานี Sendai – สถานี International Center โดยใช้รถไฟใต้ดินสาย Tozai Line (*สามารถใช้ One-Day Pass for Loople Sendai Bus and Subway ได้)

ส่วนตัวเราไม่ได้ใช้พาสใดๆ ก็เดินทางแบบธรรมดา ราคา 200 เยนค่ะ (ใช้ IC Card หรือซื้อตั๋วรถไฟธรรมดาได้)

Sendai Subway Tozai Line ซึ่งรถใฟสาย Tozai Line จะมีสีประจำสายคือสีฟ้าค่ะ พอเดินมาถึงชานชาลาแล้วก็มองที่เสาที่เขียนลำดับสถานีเอาไว้ค่ะ จะได่ขึ้นไม่ผิดฝั่ง ซึ่งฝั่งที่เราจะขึ้นคือ for Yagishima Zoologocal Palk ตรงชานชาลาหมายเลข 4

สถานี International Center 5 นาทีผ่านไปเราก็มาถึงสถานี International Center แล้วค่ะ ทิศทางที่เราจะต้องไปคือ Site of Sendai Castle ให้ออกตรงทางออก South Exit 1

หน้าตาสถานีรถไฟค่ะ คงดูไม่เหมือนสถานีรถไฟเท่าไหร่ ออกแนวพิพิธภัณฑ์เสียมากกว่า แต่ทางออกด้านนี้จะอยู่ในบริเวณของ Sendai International Center เลยค่ะ ฉะนั้นออกมาจากสถานีแล้ว เราก็จะอยู่ในบริเวณของ Center ทันที

จากนั้นเราก็เริ่มเดินชมใบไม้แดงจากตรงนี้ ทำให้เราสามารถชมใบไม้แดงได้ตลอดทางจนถึงปราสาท และสำหรับคนที่อยากเที่ยวพิพิธภัณฑ์ Sendai City Museum ก็เป็นทางเลือกที่ดีค่ะ และใครที่คิดว่าซื้อพาสกันเอาไว้ดีกว่า เราก็แนะนำ One-Day Pass for Loople Sendai Bus and Subway ค่ะ เพราะสามารถขึ้นได้ทั้งรถไฟและรถบัส ช่วยประหยัดเวลาในการรอรถบัสได้มากทีเดียวค่ะ

เดินๆ ไปก็อย่าลืมดูป้ายบอกทางนะคะ ใครอยากแวะเที่ยวที่ไหนก็สามารถแวะได้เลย คนที่มีเวลามากหน่อยก็สามารถแวะได้ทุกที่ อิ อิ อีกทั้งถือว่าเป็นการเดินเล่นค่ะ อยู่ญี่ปุ่นเดินวันละ 2-3 กม. ถือว่าเป็นระยะทางที่กำลังสุขภาพดี (เหรอออ?)

Sendai International Center Sendai International Center

เดินเล่นชมนกชมไม้ได้สักพักเราก็จะเจอ Sendai International Center (ดูแผนที่) ซึ่งจะมีการจัดอีเวนท์ต่างๆ ที่ให้ความรู้หรือการจัดการอบรมต่างๆ ก็จะจัดขึ้นที่นี่ด้วยค่ะ ในวันที่เราไปมีการจัดงานเกี่ยวกับการอบรมของคนที่เรียนหรือสอบเป็นอาจารย์ด้วย

เดินเลย Center มาแล้วจะเจอป้ายแบบนี้ค่ะ เราใกล้ความจริงแล้ว Site of Sendai Castle หรือบริเวณปราสาทเซนไดก็อยู่ไม่ไกลแล้ว อิ อิ

Sendai City Museum แต่สำหรับคนที่อยากไปเที่ยว Sendai City Museum (ดูแผนที่) อาจจะต้องเดินไกลหน่อยนะคะ แต่ว่าส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณเดียวกันหมดเดินถึงกันค่ะ เดินแค่ประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงแล้ว

ใบไม้เปลี่ยนสี ทางเดินที่ติดบริเวณทางขึ้นปราสาทก็ยังมีทัศนียภาพของใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมตลอดทางเลยค่ะ ส่วนตัวเราชอบใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่มาก เพราะมีต้นเมเปิ้ลกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ไม่เหมือนกับทางภูมิภาคคันโตแถบโตเกียว ที่ส่วนใหญ่จะเป็นต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองค่ะ สีสันก็จะสวยกว่าเป็นพิเศษอีกด้วย

ลัดเลาะมาตามถนน เราก็เจอลานกว้างที่เชื่อมต่อกับถนนขึ้นดอย (บริเวณทางขึ้นปราสาท) จะมีจักรยานให้เช่ารายวันค่ะ แต่ต้องมีบัตรที่เขากำหนดไว้ เพราะการจ่ายเงินเป็นระบบแตะบัตรหลังจักรยาน แต่งานนี้เราพกมาแค่บัตร Suica ซึ่งใช้ไม่ได้กับจักรยานนี้ (เสียใจ T T)

ใบไม้เปลี่ยนสี บริเวณปากทางเข้าทางเดินเล่นสวนที่เชื่อมกับทางขึ้นของปราสาทเซนไดสวยงามมากจริงๆ

Sendai Castle (Aoba Castle)

แผนที่ปราสาทเซนได เดินทะลุลานเมื่อสักครู่เราจะเจอทางขึ้นไปยังบริเวณปราสาทค่ะ ซึ่งก็คือทางขึ้นเขาดีๆ นี่เอง แต่จะมีแผนที่ทางเดินเอาไว้ ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ อีกทั้งมีคนญี่ปุ่นหลายคนเดินขึ้นเป็นเพื่อนอีกด้วย แน่นอนว่ามีทางเดินเท้าที่ควบคู่ไปกับทางเดินรถค่ะ จุดนี้สำหรับคนที่นั่งรถมาอาจจะไม่ได้ซึมซับตรงนี้เท่าไหร่ แต่คนที่เดินขึ้นแต่ตั้งข้างล่างจะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีไปตลอดทางจนถึงบนเขา จะรู้สึกว่ามีอะไรให้ดูมากกว่าค่ะ

Site of Sendai Castle ใกล้ถึงปลายทางแล้วค่ะ ด้านหน้าของเราจะเห็น Loople Bus ด้วย ซึ่งจะไปจอดป้ายหน้าบันไดปราสาทเลยค่ะ คนที่ขี้เกียจไม่มีเวลามาก หรือไม่สะดวกเดินก็สามารถนั่งรถบัสขึ้นมาได้นะคะ

ส่วนตัวเราน้านนน เดินทางมาด้วยกำลังขาของตนเอง เมื่อถึงตีนฐานปราสาทก็แชะภาพไว้เสียหน่อย จะใหญ่แค่ไหนกันเชียว…แต่ก็อย่างที่เห็นค่ะ สูงกี่เมตรก็ไม่รู้ 555 เอาล่ะค่ะ ขึ้นไปขางบนกันดีกว่า (แต่ไม่ปีนนะ!)

Sendai Aoba Castle ด้านบนกำแพงหินที่เป็นที่ตั้งของปราสาทเซนได (Site of Sendai Castle) หรือที่เรียกว่า “Aoba Castle (青葉城)” นั้นก็มีสภาพเช่นนี้ค่ะ เนื่องจากว่าตัวปราสาทจริงๆ นั้นได้ถูกทำลายไปแล้วและไม่ได้มีการสร้างขึ้นใหม่เหมือนกับปราสาทบางแห่งของญี่ปุ่น ที่นี่จึงมีเพียงลานกว้างๆ แต่บนหินแต่ละจุดนั้นก็มีแผ่นเหล็กสลักบอกว่าตอนนี้เราอยู่ห้องไหนของปราสาทในสมัยก่อน ต้องถือว่าเป็นการเที่ยวที่ค่อนข้างใช้จินตนาการซักหน่อยค่ะ

นักรบ แม้จะไม่มีปราสาทให้เราเดินชม แต่ก็มีความพิเศษ คือ คุณลุงคุณอาเขาแต่งตัวเป็นนักรบสมัยก่อน รวมถึงตัวละครอื่นๆ มายืนแอ๊บท่าให้เราถ่ายรูปด้วย ในบางครั้งก็มีการพูดบทแบบโบราณๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในญี่ปุ่นในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ค่ะ

Date Masamune และแน่นอนเลยที่ลืมไม่ได้คืออนุสาวรีย์ของท่านไดเมียว (ตำแหน่งเจ้าเมืองในสมัยก่อน) Date Masamune (伊達 政宗) ผู้มีฉายาว่า ‘มังกรตาเดียว’ เรียกว่าเป็นคนที่มีความสนใจทางด้านการทูตและเทคโนโลยีของชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเคยเขียนจดหมายถึงสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 เป็นภาษาลาตินอีกด้วย (สุดยอดมาก)

ทัศนียภาพเมืองเซนไดจากบริเวณปราสาท Aoba Castle

Gokoku Shrine (Aoba Castle Museum) Gokoku Shrine (Aoba Castle Museum)

Gokoku Shrine เป็นศาลเจ้าที่ใช้เป็น Aoba Castle Museum ดังนั้นนอกจากเราจะสามารถไหว้ศาลจ้าได้แล้ว เราก็ยังสามารถเข้าชมส่วนของพิพิธภัณฑ์ได้อีกด้วย ซึ่งศาลเจ้านี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับปราสาท Aoba Castle โดยมีค่าเข้าชมโซนพิพิธภัณฑ์ 700 เยน สามารถชมเข้าชมได้โดยไม่มีวันหยุด ช่วงเวลาเปิดทำการ คือ 9:00 – 17:00 น. (ต้นเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคม เปิดถึง 16:00 น.) สามารถผ่านประตูเข้าชมได้ถึงก่อนเวลาปิด 30 นาที

น้ำเต้า นอกจากป้ายขอพรแบบปกติทั่วไปแล้ว ก็ยังมีความนิยมในการเขียนอักษรไว้บนลูกน้ำเต้าแล้วนำมาห้อยบนที่เขาจัดไว้ให้ สวยงามแปลกตาทีเดียวค่ะ

Tohoku University Kawauchi South Campus Tohoku University Centennial Hall

เดินลงมาจากเขาของปราสาท Aoba Castle ตามความสวยงามของใบไม้สีแดงมาจนถึง Centennial Hall ของมหาวิทยาลัย Tohoku University (ดูแผนที่) ซึ่งเราก็ได้ชมบรรยากาศของมหาวิทยาลัยของภูมิภาคโทโฮคุนี้ไปด้วยค่ะ มหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นมักจะมีต้นไม้สวยๆ ที่สามารถชมได้ตามฤดูกาลเลยนะคะ

ถนนในเมืองเซนได กว่าเราจะเดินลงมาจากปราสาทและแวะไปอีกหลายที่ ก็เป็นเวลาประมาณบ่าย 3 – บ่าย 4 บรรยากาศก็มืดลงอย่างรวดเร็ว แต่ความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองนี้ก็ยังทำให้เราหลงรักได้เสมอในทุกๆ ครั้งที่เราเดินผ่านค่ะ

สวน Nishi Koen Park และถนน Jozenji-Dori สวน Nishi Koen Park และถนน Jozenji-Dori

ฤกษ์งามยามพระอาทิตย์ตกดินแล้ว ก็ได้เวลาที่จะเดินกลับสถานีกันค่ะ (ใครไม่อยากเดินก็นั่งรถบัสหรือรถไฟกลับได้ค่ะ) ระหว่างทางก็เผอิญเดินไปเจอสวน Nishi Koen Park (ดูแผนที่) ซึ่งเต็มไปด้วยต้นแปะก๊วยที่กำลังเปลี่ยนสีรวมทั้งบรรยากาศของใบไม้ร่วงในยามค่ำคืนอีกด้วย ทางสวนจะมีการเปิดไฟโชว์ ทำให้เราเดินเล่นได้อย่างไม่รู้เบื่อค่ะ

ย่านถนน Jozenji-Dori

จากสวนนี้เราสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังย่านช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงอย่าง Jozenji-Dori (ดูแผนที่) ซึ่งเกาะกลางถนนจะมีต้นไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีเรียงรายไปตลอดทางหลายกิโลเมตรเลยค่ะ แต่ทางด้านความสว่างไสวนั้นขอแนะนำให้มาในช่วงกลางวันจะดีกว่าค่ะ เพราะค่อนข้างมืดเลยทีเดียว

Sendai Mediatheque Sendai Mediatheque

อีกหนึ่งสถานที่ที่น่าสนใจที่อยู่บนถนนสาย Jozenji-Dori คือ Sendai Mediatheque (ดูแผนที่) เป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ประกอบด้วยห้องสมุดและสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ เป็นงานออกแบบของ Toyo Ito ซึ่งเป็นอาคารไร้เสาที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย แนะนำว่าต้องเข้าไปดูสักครั้งค่ะ อยู่ได้ไงอาคารไม่มีเสา? เน๊อะ

ชวนทานราเมงร้อนๆ ที่ถนน Kokubunchou-Dori ซึ่งเชื่อมต่อกันกับถนนสาย Jozenji-Dori ซึ่งเป็นย่านที่เน้นความบันเทิงในยามค่ำคืนของเมือง ดังนั้นในซอยนี้จะมีร้านต่างๆ ที่เปิดบริการจนถึงดึกค่ะ และราเมงที่เราไปแวะกินก็อยู่ในซอยนี้เช่นกัน ชื่อว่าร้าน Hakata-ichirin (ดูแผนที่) อยู่ใกล้สถานี Kotodaikoen ประตูทางออกทิศใต้ 2 จริงแล้วๆ เป็นร้านราเมงแบบฮากาตะซึ่งเป็นราเมงขึ้นชื่อแถบฟุกุโอกะ แต่ที่น่าสนใจคือ เป็นราเมงเส้นดำทำให้เราอยากลองดูค่ะ และผลที่ออกมาก็คือ อร่อยมากก แม้จะผิดคอนเซ็ปมาเซนได แต่กินราเมงฮากาตะก็ตาม อิ อิ

ย่านถนน Ichibancho

ถนน Ichibancho (ดูแผนที่) เป็นถนนยาวหลายร้อยเมตรซึ่งจะเชื่อมกับร้านต่างๆ มากมายทำให้เราสามารถเดินดูสินค้าได้หลากหลายประเภทภายในพื้นที่เดียวกัน โดยถนนดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับสถานี Aoba-Dori Ichibancho และความพิเศษในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมก็จะมีการประดับประดาไฟเอาไว้ตลอดทาง เราจะสามารถช้อปปิ้งได้ท่ามกลางบรรยากาศของคริสต์มาสเลยทีเดียวค่ะ

ภาพบรรยากาศย่านช็อปปิ้งของ Ichibancho

Silver Accessory SAAD Silver Accessory SAAD

LINE Friends Store Sendai LINE Friends Store Sendai

Sunmall Ichiban-cho Sunmall Ichibancho

นอกจากถนน Ichiban-cho แล้วยังมีถนนสายอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันด้วย งานนี้เดินเพลินก็อาจจะหลงได้ หากกลัวหลงก็พยายามหาทางกลับสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดเอาไว้นะคะ รับรองว่ากลับที่พักได้แน่นอน!

วันนี้ช่างเป็นวันที่ได้เที่ยวเต็มอิ่มมากๆ สำหรับตัวแอดมิน ได้ชมใบไม้เปลี่ยนสี ไปชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ และตบท้ายด้วยการช้อปปิ้ง เพื่อนๆ อาจจะมีความชอบที่แตกต่างกันออกไป แต่หวังว่านี่จะเป็นบทความหนึ่งที่มีประโยชน์ในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเซนไดได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

และเราก็ขอจบทริปการเที่ยวเซนไดในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีไว้เพียงเท่านี้ ตอนหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ รอติดตามกันนะคะ สำหรับวันนี้สวัสดีค่า


บทความเที่ยวเซนได (Sendai) ดูทั้งหมด »

• เมืองเซนได

· การเดินทางจากโตเกียวไปเซนได (Tokyo → Sendai) ในจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
· JR Sendai Station สถานีหลักของเมืองเซนได พร้อมแนะนำร้านค้าต่างๆ
· ลิ้นวัวย่าง (Gyutan Yaki) อาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนได (Sendai)
· Kyou Bar Lounge & Inn โรงแรมริมแม่น้ำ ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เซนได (Sendai)
· เที่ยวเซนได (Sendai) 1 วัน ชมใบไม้เปลี่ยนสี ปราสาทเซนได (Sendai Aoba Castle)

• แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง

· Tashirojima เกาะแมว (Cat Island) แห่งจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
· Zao Fox Village (Zao Kitsune Mura) หมู่บ้านจิ้งจอกแห่งจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
· การเดินทางจากเซนไดไปยามาเดระ (Sendai → Yamadera)
· ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Yamadera Temple วัดบนเขาที่อายุเก่าแก่กว่า 1000 ปี

เทียบราคาโรงแรมที่พักในเซนได


รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com