สวัสดีค่า ในบทความก่อนหน้านี้เราได้แนะนำการเดินทางมายามาเดระ (Yamadera) ในจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ไปแล้ว วันนี้เราก็จะพาเดินขึ้นเขาไปชมวัดยามาเดะระ (Yamadera Temple) กันนะคะ ว่าจะสวยงามแค่ไหน และสืบเนื่องจากเนื้อหาก่อนหน้านี้ได้อธิบายถึงการเดินทางมายังจุดที่เริ่มขึ้นเนินเขาค่ะ
เกี่ยวกับวัดยามาเดระ (Yamadera Temple)
วัดยามาเดระ (Yamadera Temple /山寺) นั้นแปลตามตัวได้ว่า “วัดภูเขา (Mountain Temple)” หากเรียกชื่ออย่างเป็นทางการก็คือ “วัดริชชะคุจิ (Risshakuji Temple / 立石寺)” เป็นวัดพุทธของนิกาย Tendai ก่อตั้งโดย JiKaku Daishi เมื่อปี ค.ศ. 860
ตัววัดยามาเดระ (Yamadera Temple) ตั้งอยู่บนเขาในเมืองยามากาตะ (Yamagata) ของจังหวัดยามากาตะ (Yamagata) ในภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) และเป็นที่เที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยความงดงามของทิวทัศน์และความเก่าแก่ของวัด โดยอาคารใหญ่ด้านหน้านั้นถูกกำหนดให้เป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีส่วนต่างๆ ที่สร้างเอาไว้ในพื้นที่บนเขา ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า “วัดภูเขา (Mountain Temple)” หรือ “Yamadera (山寺)” ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง
ข้อมูลการเยี่ยมชม
- ค่าธรรมเนียมเข้าชม (ตั้งแต่โซนขึ้นเขา)
- ผู้ใหญ่ 300 เยน
- นักเรียนมัธยมต้น 200 เยน
- นักเรียนประถม (อายุ 4 ปีขึ้นไป) 100 เยน
- เวลาทำการ
- 8:00 – 17:00 น. (ไม่มีวันหยุด)
- วิธีการเดินทาง:
- นั่งรถไฟสาย Zensan Line มาลงที่สถานี Yamadera และเดินอีกประมาณ 5 นาที
พยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสี
ปี | วันที่เริ่มพีค | วันที่ร่วง |
---|---|---|
2024 | 6 พฤศจิกายน ~ | 14 พฤศจิกายน ~ |
รีวิววัดยามาเดระ (Yamadera Temple)
เมื่อมาถึงบริเวณวัด สิ่งปลูกสร้างแรกที่เราจะพบคือ อาคารหลัก (Main Hall) “Konponchudo” ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวกันว่าอาคารนี้ได้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ 1356 โดยท่าน Kaneyori Shiba ซึ่งเป็นผู้ปกครองยามากาตะในขณะนั้น
ด้านขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาอาคารหลัก) ก็มีต้นเมเปิ้ลอยู่เช่นกันค่ะ อีกทั้งยังมีป้ายประกาศติดเอาไว้ด้วย คาดว่าเป็นประวัติต้นไม้และอายุคงเก่าแก่มากเช่นกัน ส่วนด้านในลึกเข้าไปไม่อนุญาตให้เข้าค่ะ
ด้านขวามือ (ถ้าหันหน้าเข้าหาอาคารหลัก) ของอาคาร Konponchudo คือต้นแปะก๊วยขนาดยักษ์ที่เริ่มร่วงเต็มพื้นแล้วค่ะ แต่ว่ายังไม่ค่อยเปลี่ยนสีให้เห็น เพราะโดยทั่วไปแล้วต้นแปะก๊วยจะเปลี่ยนสีช้ากว่าต้นเมเปิ้ลค่ะ
ใกล้ๆ ต้นแปะก๊วยยักษ์ก็มีลานพระพุทธรูปขนาดจิ๋วเรียงรายกันน่ารักมากๆ คือมีจำนวนเยอะมาก รวมทั้งมีกังหันลมด้วย คาดว่าเกี่ยวกับการขอพรตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นค่ะ
เดินเลยต้นแปะก๊วยมา เราก็จะพบกับร้านขายของท้องถิ่นด้วยค่ะ มีขนมและของใช้พื้นเมือง รวมไปถึงตู้กดน้ำเอาไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เตรียมน้ำหรือเครื่องดื่มมาด้วยแนะนำให้ซื้อจุดนี้เลยค่ะ
อาคารที่ไใกล้กับร้านขายของค่ะ จะมีความคล้ายคลึงกับอาคารหลัก แต่มีลักษณะคล้ายกับที่พำนักของคนญี่ปุ่นสมัยเก่าอยู่ด้วย
ตรงนี้สามารถเข้าไปขอพรได้ ด้านหน้ามีเชือกให้แกว่งคล้ายกับวัดญี่ปุ่นทั่วไป กล่องไม้ด้านหน้าก็เป็นที่โยนเหรียญเพื่อทำบุญค่ะ วิธีการขอพรคือ ให้โยนเหรียญในกล่อง โค้ง 2 ครั้ง ปรบมือ 2 ครั้ง แล้วค่อยทำการขอพร จากนั้นให้โค้งปิดท้ายอีกครั้งค่ะ
ถัดจากอาคารเมื่อครู่ก็จะมีเสาโทริอิหินขนาดใหญ่อยู่ค่ะ เป็นทางเชื่อมนำไปสู่อาคารต่อไป ข้างเสาหินนี้ก็มีต้นเมเปิ้ลขนาดใหญ่อยู่ด้วย กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีแดงแกมส้ม สวยมากเลยค่ะ
เมื่อยามใบเมเปิ้ลต้องแสงแดดก็จะมีความโรแมนติกเบาๆ สีสันชวนมองสุดๆ ยิ่งต้นใหญ่ๆ ที่ปกคลุม แล้วมีแสงแดดที่ลอดลงมาด้วย ยิ่งสวยงาม เลอค่าสุดๆ
ความใหญ่โตของต้นไม้หน้าอาคารค่ะ เป็นได้ทั้งร่มไม้และสุนทรีย์ทางสายตาอีกด้วย
เดินผ่านต้นไม้ที่มีสีแสดแดงมาแล้ว เดินมาเรื่อยๆ ตามอุโมงค์เมเปิ้ลก็จะเจอต้นที่กำลังเปลี่ยนจากเขียวเป็นเหลือง และเหลืองเป็นสีแสดบริเวณปลายยอดกิ่งค่ะ
เดินผ่านอุโมงค์เมเปิ้ลสั้นๆ มาแล้วจะเจอลานนี้ค่ะ โดยทางขึ้นเขาจริงๆ จะอยู่ที่ต้นเมเปิ้ลสีแดงสดตรงหน้าที่เห็นในรูปค่ะ
ก่อนทางขึ้นก็มีแผนที่บอกจุดต่างๆ อย่างละเอียดเอาไว้ด้วย สำหรับคนที่มีเวลามากหน่อย อยากให้อ่านเอาไว้ค่ะ มีภาษาอังกฤษด้วย เพราะด้านบนมีอะไรให้ดูเต็มไปหมดเลย หากพกความรู้ไปด้วยเราจะเที่ยวได้สนุกมากขึ้นนะคะ
ตั๋วขึ้นเขาสำหรับผู้ใหญ่ราคา 300 เยน (นักเรียนมัธยมต้น 200 เยน, เด็ก 4 ขวบขึ้นไป 100 เยน) ไม่แพงค่ะ แต่บอกไว้ก่อนสำหรับคนที่มีผู้ร่วมทางอายุเยอะหรือเจ็บข้อเข่า ควรพิจารณาให้ดีก่อนขึ้น เพราะที่นี่มีบันไดไปยังชั้นบนสุดถึง 1,000 ขั้นเลยค่ะ ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 1 ชั่วโมง และไม่มีลิฟต์หรือกระเช้าใดๆ ช่วยทั้งสิ้นนะคะ
นี่คือภาพในระยะ 100 เมตรหลังจากเราเข้าเขตขึ้นเขาค่ะ ต้นไม้สูงใหญ่ผิดกับด้านนอกลิบลับเลย คาดว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีอายุยาวนานพอสมควร เพราะสูงใหญ่มาก และบรรยากาศดีมากๆ ด้วย ลมเย็นสบาย ใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองก็เป็นอาหารตาได้ดีเหลือเกิน
เมื่อเดินขึ้นไปในบริเวณชั้นสูงๆ ก็เริ่มมีสิ่งก่อสร้างให้เราดูกันแล้วค่ะ ทั้งพระพุทธรูปหิน ป้ายสลักที่คล้ายกับเป็นการลงพิมพ์ลงไปในหินของภูเขา เริ่มให้ความรู้สึกว่าคล้ายกับวัดเก่าแก่ของจีนที่มักมีการสลักสิ่งต่างๆ ไว้ตามหิน
นอกจากป้ายสลักหินแล้ว ก็ยังมีบรรดารูปสลักซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบ มีรูปคู่กันด้วย แลดูคล้ายคลึงกับพุทธรูปบ้านเราบ้างมั้ยคะ?
เมื่อมองผ่านแมกไม้ขึ้นไป เราจะเห็นสีฟ้าสดใสตัดกับสีแดงอมส้มของบรรดาต้นไม้บนหน้าผาและตามสันเขาที่กำลังเปลี่ยนสี เป็นการชมความงามของฤดูใบไม้ร่วงที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวอย่างมาก
หากสังเกตดูดีๆ จะเห็นแสงสีเงินระยิบระยับอยู่บนผนังหินด้านบน ตรงนั้นคือบรรดาเหรียญหนึ่งเยนค่ะ ทั้งงหมดนั้นสามารถตั้งอยู่ได้โดยไม่มีอะไรยึดติด ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่นิยมสำหรับผู้ที่เดินทางมายัง Yamadera Temple แห่งนี้นั่นเองค่าาา
หลังจากเดินขึ้นมาหรือบางคนอาจจะคลานขึ้นมา(?) ด้วยความเหนื่อย ในที่สุดเราก็เจอตัวอาคารที่เริ่มมีลักษณะคุ้นหูคุ้นตาบ้างแล้ว เหมือนเป็นหมู่บ้านบนภูเขาเลยค่ะ เนื่องจากทางเดินที่ขึ้นมาเต็มไปด้วยหน้าผา จุดนี้จึงเหมือนเป็นแอ่งอยู่ด้านบน ทำให้รู้สึกถูกโอบล้อมไปด้วยธรรมชาติของบรรดาต้นไม้ใบหญ้าที่กำลังเปลี่ยนสีเลยค่ะ
ตามรายทางด้านบนก็เริ่มพบกับต้นเมเปิ้ลสีต่างๆ บ้างแล้วค่ะ ด้านล่างเขาจะเป็นต้นใหญ่ที่เราเห็นไปด้านบน แต่บนยอดเขา เราจะเจอกับต้นที่เป็นใบไม้สีแดงทั้งต้นเลยค่ะ แต่ว่าต้นเล็กกว่านะคะ
เมื่อเดินผ่านเหล่าอาคารต่างๆ ถ้าหันกลับไปมอง เราจะเริ่มเห็นวิวของเมืองด้านล่างรวมถึงทิวทัศน์เขาที่กว้างมากก เนื่องจากจุดชมวิวจะเป็นช่องเขาพอดีลมจะเย็นสบายเป็นพิเศษค่ะ ตอนที่เราไปเป็นกลางเดือนพฤศจิกายน ใบไม้บนภูเขาเริ่มเลี่ยนสีประมาณ 60% ก็นับว่าสวยแล้ว หากไปเจอตอน 100% คงไม่อยากกลับกันเลยล่ะค่ะทีนี้
Kaizando
นอกจากจุดชมวิวนี้แล้วก็ยังสามารถขึ้นไปชมอาคารเก่าแก่ที่หลายๆ คนใช้เป็นมุมถ่ายรูปค่ะ Kaizando นี้ก็เป็นอาคารที่ตั้งอยู่ติดกับหน้าผาเลย เป็นคล้ายศาลเจ้าเล็กๆ และมีสิ่งก่อสร้างเก่าๆ สร้างอยู่บนชะง่อนหินอีกด้วย คือส่วนตัวก็อยากจะดูใกล้ๆ แต่ขอสลิงมาผูกกันตกด้วยจะได้ไหม อิ อิ คนสร้างนี่ต้องใจกล้าแค่ไหน ชะง่อนหินก็แหลม ข้างล่างก็เหว เสียวสุดๆ
Nokyodo
นอกจากจุดนี้แล้ว มองไปด้านบนก็ยังเป็นหน้าผาของหุบเขาแห่งนี้ค่ะ สามารถขึ้นไปด้านบนได้อีก ยิ่งสูงจะยิ่งได้วิวที่สวยงามค่ะ แต่เสียดายเราไม่ได้ขึ้นไปถึงจุดนั้นเนื่องจากต้องลงไปรอรถไฟแล้วค่ะ เรามีเวลาเที่ยวที่นี่เพียงแค่ครึ่งวันเองค่ะ
การเที่ยว Yamadera สำหรับเราเป็นอะไรที่น่าสนุกนะคะ ดูธรรมชาติไป ปีนเขาเบาๆ ได้ชมวิวมุมสูง ได้เยี่ยมชมสมบัติเก่าแก่ของญี่ปุ่น ใครจะเชื่อว่าบนเขาสูงๆ แห่งนี้ก็มีคนมาสร้างอะไรต่างๆ ไว้กว่าหนึ่งพันปี ในขณะที่ทัศนียภาพของป่าเขาและสิ่งก่อสร้างยังคงหลงเหลือให้เห็นค่อนข้างสมบูรณ์
วันนี้เราก็ขอลาไปก่อนเพียงเท่านี้กับภาพวิวสะพานก่อนถึงตีนเขานะคะ ธรรมชาติที่นี่ยอดเยี่ยมมากๆ จนต้องถ่ายเอาไว้ สวัสดีค่า
เทียบราคาโรงแรมที่พักในเซนได
บทความเที่ยวเซนได (Sendai) ดูทั้งหมด »
› เมืองเซนได
- การเดินทางจากโตเกียวไปเซนได (Tokyo → Sendai) ในจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
- JR Sendai Station สถานีหลักของเมืองเซนได พร้อมแนะนำร้านค้าต่างๆ
- ลิ้นวัวย่าง (Gyutan Yaki) อาหารขึ้นชื่อของเมืองเซนได (Sendai)
- Kyou Bar Lounge & Inn โรงแรมริมแม่น้ำ ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เซนได (Sendai)
- เที่ยวเซนได (Sendai) 1 วัน ชมใบไม้เปลี่ยนสี ปราสาทเซนได (Sendai Aoba Castle)
› แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
- Tashirojima เกาะแมว (Cat Island) แห่งจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
- Zao Fox Village (Zao Kitsune Mura) หมู่บ้านจิ้งจอกแห่งจังหวัดมิยางิ (Miyagi)
- การเดินทางจากเซนไดไปยามาเดระ (Sendai → Yamadera)
- ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Yamadera Temple วัดบนเขาที่อายุเก่าแก่กว่า 1000 ปี
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com