วันนี้เราจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมมรดกโลกที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของเกียวโตนั่นก็คือ ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) เป็นศาลเจ้าโบราณที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานมากกว่า 2,000 ปี ซึ่งพื้นที่ตรงนี้มีประวัติยาวนานย้อนไปถึงสมัยยุคหินเลยทีเดียว โดยเป็นสถานที่ที่ใช้ในการทำพิธีกรรมและเรียกได้เว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่สมัยโบราณเลยค่ะ
นอกจากตัวศาลเจ้าชิโมกาโมะแล้ว เราก็จะพาทุกคนไปเดินเล่นในป่าทาดาสุ โนะ โมริ (Tadasu-no-Mori Forest) ที่อยู่ในบริเวณศาลเจ้ากันด้วยนะคะ ป่าแห่งนี้ได้รรับยกย่องให้เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของประเทศ เพราะเป็นป่าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและยังเป็นป่าธรรมชาติหนึ่งเดียวในกลางเมืองเกียวโตด้วยค่ะ
เกี่ยวกับศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)
ประวัติความเป็นมา
ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine / 下鴨神社 [Shimogamo Jinja]) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ ศาลเจ้าคาโมมิโอะยะ (Kamo-mioya-jinja / 賀茂御祖神社) เป็นศาลเจ้าชินโตที่อยู่ใกล้กับจุดเชื่อมต่อของของแม่น้ำคาโมะ (Kamo River) และแม่น้ำทาคาโนะ (Takano River) ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต (Kyoto) และยังเป็นเป็น 1 ใน 17 อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงว่าศาลเจ้ามีอายุนับ 2,000 ปี คือมีการค้นพบเครื่องปั้นดินเผาสมัยโจมงและยาโยอิ (สมัยยุคหินใหม่ของญี่ปุ่น) ซึ่งมีมาก่อนที่จะมีการสถาปนาเกียวโตให้เป็นเมืองหลวงของญี่ปุ่นในสมัยเฮอัน (ค.ศ. 794) เสียอีก ในยุคเฮอันนั้นที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สถิตย์ของเทพผู้พิทักษ์ของประเทศ ถือเป็นศูนย์รวมความเจริญทางวัฒนธรรมในสมัยนั้น
เราจะได้ยินชื่อของศาลเจ้าแห่งนี้ในงานประพันธ์เก่าแก่อันโด่งดังอย่าง ตำนานเก็นจิ “เก็นจิโมโนกาตาริ (Genji Monogatari)” และ หนังสือข้างหมอน “มากูระโนะโซชิ (Makura no Soshi)” เป็นต้น อีกทั้งยังปรากฎในหนังสือ “นิฮงโชกิ (Nihon Shoki)” พงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่าเป็นศาลเจ้าที่มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
สาระและเกร็ดน่ารู้
ความยิ่งใหญ่และความศักดิ์ของศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) นั้นได้ผูกพันธ์กับตำนานประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเอาไว้อย่างมาก ทั้งในช่วงที่มีการย้ายเมืองหลวงจากเกียวโตไปยังคามาคุระ และในสมัยต่อๆ มาที่เกิดสงครามกันจนทำให้คนหมดศรัทธาในวัด คนจึงหันหน้าเข้าหาศาลเจ้าและอธิษฐานให้ประเทศแทน รวมถึงชนชั้นปกครองในอดีตที่เคยมีอำนาจต่างมาอธิษฐานให้บ้านเมืองเย็นเป็นสุขอีกด้วย ทำให้เป็นศาลเจ้าที่ได้รับความสนใจจากคนทุกชนชั้นในทุกยุคทุกสมัย
ปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้ก็ยังคงมีการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการจัดงานพิธีการต่างๆ ให้ประชาชนได้เข้าร่วมกันอย่างเป็นประจำ และด้วยประวัติอันยาวนานและชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้โดดเด่นในเรื่องปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย การแต่งงาน การเจริญพันธุ์ การคลอดบุตรอย่างปลอดภัย การเลี้ยงดูบุตร และความปลอดภัยในการเดินทาง
เทศกาลที่น่าสนใจ
- การแข่งขันยิงธนูยาบุซาเมะชินจิ (Yabusame Shinji) จัดช่วงต้นพฤษภาคมของทุกปี เป็นพิธีที่นักยิงธนูซึ่งแต่งกายด้วยเครื่องแบบโบราณจะแสดงการยิงธนูบนหลังม้า โดยจัดขึ้นเพื่อเป็นการนำโชคก่อนเริ่มงานเทศกาลอาโออิ (Aoi Matsuri)
- การเดินพาเหรดงานเทศกาลอาโออิ (Aoi Matsuri) จัดทุกวันที่ 15 พฤษภาคมของทุกปี ซึ่งจะมีการจัดขบวนแห่ที่เรียกว่าโรโตะโนะงิ (Roto No gi) ที่มีความยาวถึง 8 กิโลเมตร โดยมีผู้ร่วมเดินขบวนกว่า 500 คน แต่งกายจำลองเป็นชนชั้นสูงแห่งยุคเฮอัน ถือเป็นเทศกาลที่มีความยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับเทศกาลกิออน (Gion Matsuri) เลยทีเดียยว
ข้อมูลการเยี่ยมชม
- เวลาทำการ: 6:30 – 17:00 น. (เวลาเปิด-ปิดประตู อาจมีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากพิธีกรรมของศาลเจ้า)
- วันหยุด: ไม่มี
- ค่าเข้าชม:
- บริเวณศาลเจ้า: ฟรี
- ด้านในห้องโถงพิเศษ Ooidono Hall:
- ผู้ใหญ่ 500 เยน
- เด็กเล็ก – เด็กประถมศึกษา ฟรี
※เปิดให้เข้าตั้งแต่ 10:00 – 16:00 น.
วิธีการเดินทาง
รถไฟ
- Demachiyanagi (รถไฟสาย Eizan Main Line และ Keihan Main Line) จากสถานีเดินต่ออีกประมาณ 12 นาที
รถบัส
- Shimogamo Jinja-mae หรือ Tadasunomori (สายที่ผ่าน 4, 205) จากป้ายเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
วิธีการเดินทางจากสถานี Kyoto:
- ให้นั่งรถบัสหมายเลข 4 หรือ 205 มาลงที่ป้าย Shimogamo Jinja-mae หรือ Tadasunomori
- ให้นั่งรถไฟใต้ดินสาย Karasuma Line มาลงที่สถานี Kitaoji แล้วต่อรถบัสสาย 205 มาลงที่ป้าย Shimogamo Jinja-mae หรือ Tadasunomori
รีวิวเที่ยวศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)
ในรีวิวนี้เราจะขอนำเสนอสถานที่ที่เราเดินผ่านไปจนถึงบริเวณศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) เลยค่ะ คนที่นั่งรถไฟมาลงสถานี Demachiyanagi แม้จะต้องเดินไกลกว่า 10 นาที แต่ก็มีอะไรให้แวะชมตลอดทาง ไม่มีเบื่อแน่นอนค่ะ ส่วนคนที่ก่อนหน้านี้ได้ไปเที่ยววัดฮมมันจิ (Homman-ji Temple) ที่เราได้รีวิวไปในตอนก่อน ก็สามารถเดินมาที่ศาลเจ้าได้เช่นกัน ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีค่ะ
บ้านมิตซุยเก่า ชิโมกาโมะ (Former Mitsui Family Shimogamo Villa)
บ้านมิตซุยเก่า ชิโมกาโมะ (Former Mitsui Family Shimogamo Villa) [ดูแผนที่] เป็นบ้านพักของตระกูลมิตซุยพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ซึ่งสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1925 เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ บ้านหลังนี้สร้างขึ้นโดยย้ายบ้านหลังเดิมจากสมัยเมจิที่สร้างในปี ค.ศ. 1880 ตัวอาคารเป็นบ้านไม้ 3 ชั้น สามารถชมวิวของย่านฮิกาชิยาม่าได้จากชั้นบน โดยทั่วไปชั้น 2 และชั้น 3 จะเปิดให้เข้าชมเฉพาะบางโอกาสตามที่มีกำหนดการเท่านั้น
เนื่องจากรูปแบบของแบบของตัวบ้านที่สร้างในสมัยไทโชได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ เป็นการชื่นชมความรู้สึกสุนทรีย์ของตระกูลมิตซุยผู้มั่งคั่ง นอกจากเยี่ยมชมบ้านพักแล้ว เรายังสามารถเพลิดเพลินกับคาเฟ่และของฝากด้านในได้อีกด้วย สำหรับเพื่อนๆ คนไหนอยากพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศแบบญี่ปุ่นสามารถเข้าไปใช้บริการได้ค่ะ
ป่าทาดาสุ โนะ โมริ (Tadasu-no-Mori Forest)
จากบ้านมิตซุยเก่าให้เดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเจอพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ในสมัยโบราณมีคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีป่า ไม่มีศาลเจ้า” นั่นก็เพราะว่าป่าไม้ ต้นไม้ ล้วนเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า เราจึงมักเจอศาจเจ้าในญีปุ่นส่วนใหญ่ล้อมรอบไปด้วยป่าหรือสวนนั่นเอง ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงศาลเจ้าชิโมกาโมะ เราจะต้องเดินผ่านป่าทาดาสุ โนะ โมริ (Tadasu-no-Mori Forest) [ดูแผนที่]
แนะนำสำหรับคนที่เดินทางมาโดยรถบัสและอยากจะเดินชมป่าแห่งนี้ก่อน ให้นั่งรถบัสมาลงที่ Tadasunomori ได้เลยค่ะ ซึ่งจะถึงก่อนป้าย Shimogamo Jinja-mae ที่อยู่ใกล้กับตัวศาลเจ้าหลักค่ะ
ป่าทาดาสุ โนะ โมริ ถือเป็นป่าที่อนุรักษ์ธรรมชาติโบราณเอาไว้และเป็นป่าธรรมชาติหนึ่งเดียวในเมืองเกียวโต (ไม่ใช่ป่าที่ปลูกโดยมนุษย์) ทำให้เราสามารถชมธรรมชาติที่มีแต่โบราณของเมืองเกียวโตได้ ภายในมีพื้นที่ 36,000 สึโบะ (ประมาณ 119,008.8 ตร.ม.) ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยครอบคลุมพื้นที่ถึง 1.5 ล้านสึโบะ (ประมาณ 4.9 ล้านตร.ม.) เลยทีเดียว
ปัจจุบันภายในบริเวณป่ามีต้นไม้ประมาณ 600 ต้น มีอายุระหว่าง 600 ถึง 200 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นต้นที่มีใบกว้าง เช่น เซลโควา แฮกเบอร์รี่ ถือได้ว่าเป็นป่าไม้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในทางวิชาการ ทั้งนิเวศวิทยาป่าไม้และการศึกษาสิ่งแวดล้อมค่ะ
ตอนที่เราเดินทางไปนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้ในป่ายังผลิใบไม่เต็มที่ อาจให้ความรู้สึกแห้งแล้งในแบบฤดูหนาว หากมาตั้งแต่ช่วงพฤษภาคมเป็นต้นไปที่ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มแตกยอดอ่อน ก็จะเห็นเป็นสีเขียวชอุ่ม และหากมาในวันที่ 15 พฤษภาคม ก็จะมีการจัดเทศกาลอาโออิ (Aoi Matsuri) ซึ่งเป็นเทศกาลใหญ่ของศาลเจ้ารวมทั้งของเมืองเกียวโต ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมากค่ะ
ศาลเจ้ามิตซุย (Mitsui Shrine)
เมื่อเข้ามาด้านในป่า เราจะเจอศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่หลายแห่ง อย่างในรูปนี้คือ ศาลเจ้ามิตซุย (Mitsui Shrine) [ดูแผนที่] ที่อยู่ทางทิศใต้ของบริเวณป่าทาดาสุ โนะ โมริ ในช่วงกลางยุคเฮอัน ที่นี่ได้ยกให้เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาลเจ้าคาโมะ มิสึ (ศาลเจ้าชิโมกาโมะในปัจจุบัน)
ศาลเจ้าซาวาตะ (Sawata Shrine)
ศาลเจ้าซาวาตะ (Sawata shrine) [ดูแผนที่] เป็นศาลเจ้าที่อยู่ในเครืออีกแห่งหนึ่ง เคยตั้งอยู่ในป่าทาดาสุ โนะ โมริ ก่อนที่จะรื้อถอนไปเนื่องจากความทรุดโทรม และได้รับการสร้างใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 2017 โดยมีเทพเจ้าที่ประดิษฐานคือ คันทามะ โนะ มิโคโตะ ว่ากันว่าวิญญาณเชื่อมต่อกับลูกบอล จึงมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเกมแข่งบอลเป็นอย่างมาก โดยในวันที่ 4 มกราคมของทุกปีจะมีการจัด “เทศกาลเคมะริ ฮาจิเมะ (Kemari Hajime)” ซึ่งเป็นการแข่งขันลูกบอลดั้งเดิมของเกียวโต ส่วนผู้เล่นก็จะสวมใส่ชุดโบราณด้วยค่ะ
ชื่อเสียงเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการเล่นบอลของที่นี่มาจากการแข่งขันรักบี้ครั้งแรกในคันไซที่จัดขึ้นที่ป่าทาดาสุ โนะ โมริ ตรงด้านหน้าศาลเจ้าซาวาตะเดิม นักเรียนจากโรงเรียนมัธยมไดซัง (ปัจจุบันคือวิทยาลัยศิลปศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเกียวโต) ได้เรียนรักบี้จากนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคโอในโตเกียว และมีการเตะลูกรักบี้เป็นครั้งแรกที่นี่ จึงได้มีการอนุสาวรีย์หินที่ระลึกถึงสถานที่ของลูกเตะลูกแรกในปี ค.ศ. 1969 สำหรับใครที่เล่นรักบี้อยู่หรืออยากจะลองเล่นรักบี้ ก็ลองมาอธิษฐาน ณ สถานที่ที่มีทั้งความทรงจำและประวัติศาสตร์ได้ที่ศาลเจ้าซาวาตะแห่งนี้นะคะ
นอกจากการเยี่ยมชมศาลเจ้าต่างๆ แล้ว นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถม้าโบราณชมวิวในป่าทาดาสุ โนะ โมริ และศาลเจ้าชิโมกาโมะได้ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 500 เยน ในระยะทาง 500 เมตร แม้จะเป็นระยะทางที่ไม่ไกลมาก แต่ก็นับว่าได้บรรยากาศการนั่งรถม้ากลางป่าแบบในนิทานหรือในละครของต่างประเทศเลยทีเดียว
ผู้ที่สนใจสามารถลงชื่อได้ที่จุดขึ้นรถม้า หากเดินเข้าป่าแล้วมาจะต้องเดินประมาณ 5-7 นาทีจะเจอเต็นท์สำหรับลงชื่อ หรือจะมองตามเส้นทางที่รถม้าวิ่งก็ได้เช่นกัน โดยเส้นทางที่ม้าวิ่งจะเป็นเส้นทางคู่ขนาดกับเส้นทางที่คนเดิน แนะนำให้มาช่วงฤดูร้อนและใบไม้เปลี่ยนสี วิวสองข้างทางจะสวยมากค่ะ
เดินตามเส้นทางในป่ามาเรื่อยๆ ก็จะเจอคาเฟ่และร้านขายของระหว่างทาง ส่วนตัวค่อนข้างชอบคอนเซ็ปต์ของที่นี่มากๆ คนที่เที่ยวญี่ปุ่นมาหลายครั้งอาจจะเคยเข้าชมศาลเจ้าขนาดใหญ่มาไม่มากก็น้อย และหลายที่ก็เป็นเส้นทางเดินทอดยาวไปจนกว่าจะถึงตัวศาลเจ้า แต่ที่ป่าทาดาสุ โนะ โมริและศาลเจ้า ชิโมกาโมะนั้นเหมือนเป็นการท่องเข้ามาในโลกโบราณ ได้ย้อนอดีตไปในสมัยก่อนค่ะ
ตั้งแต่ทางเดินในป่าที่เป็นพื้นดินธรรมชาติตลอดเส้นทาง เดินไปอาจจะเจอศาลเจ้าน้อยใหญ่ในเครือของศาลเจ้า จะสักการะ จะอธิษฐานอะไรก็ตามแต่ศรัทธา คนไม่พลุกพล่าน ยังมีร้านน้ำ ร้านของหวาน คาเฟ่ ร้านขายผลิตภัณฑ์ของชุมชนในท้องถิ่นตั้งอยู่เป็นระยะๆ เจอผู้คนใส่ชุดกิโมโนประปราย และยังได้ยินเสียงรถม้าวิ่งเป็นระยะๆ อีกด้วย แทบจะไม่เหมือนการมาเที่ยวศาลเจ้า แต่เหมือนเราได้เข้าไปในอีกดินแดนหนึ่งเลยค่ะ
ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)
เดินเข้ามาด้านใน ไม่นานเราก็จะสังเกตเห็นเสาโทริอิ (Torii) สีแดงสด อันเป็นสัญลักษณ์ของประตูเข้าสู่ดินแดนของเทพเจ้าค่ะ ดังนั้นเราจะเห็นเสาโทริอิเป็นปราการด่านหน้าของศาลเจ้าเสมอ มาถึงตรงนี้แสดงว่าเรากำลังเข้าสู่บริเวณหลักที่เป็นของศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) แล้วค่ะ
วันที่เราไปตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งจะตรงกับวันที่หลายๆ คนมักจะจัดงานมงคลหรือจัดพิธีต่างๆ ที่ศาลเจ้า เราจะเห็นครอบครัวคนญี่ปุ่นในชุดทางการอยู่เต็มไปหมด โดยทั่วไปแล้วชุดสุภาพของคนญี่ปุ่นมักจะเป็นสีดำแม้ว่าจะเป็นงานมงคลต่างๆ ก็ตามค่ะ
ก่อนที่เราจะไปชมความสวยงามของศาลเจ้า เราก็แวะมาที่โซนจำหน่ายเครื่องรางของขลังกันก่อนค่ะ แน่นอนว่ามีของให้เลือกเพียบ ซึ่งในวัดหรือศาลเจ้าญี่ปุ่นจะมีการนำยันต์ที่ผ่านการสวดโดยพระสงฆ์แล้วมาใส่ถุงผ้าอย่างสวยงาม และยังมีการแยกเรื่องคุณสมบัติของยันต์ต่างๆ เอาไว้ตามการใช้งานโดยเฉพาะ สามารถเลือกได้ตามความชอบ นอกจากนี้ก็มีสร้อยข้อมือลูกประคำที่ผ่านพิธีการสวดมาแล้วเช่นกัน
ศาลเจ้าอาอิโออิ โนะ ยาชิโระ (Aioi-no-yashiro Shrine)
ศาลเจ้าอาอิโออิ โนะ ยาชิโระ (Aioi-no-yashiro Shrine ) [ดูแผนที่] เป็นศาลเจ้าในเครือและตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับประตูทางเข้าอาคารหลักของศาลเจ้าชิโมกาโมะ เทพเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้านี้ได้รับการกล่าวถึงในพงศาวดารเล่มที่เก่าแก่มากที่สุดของญี่ปุ่น และยังมีตำนานว่าเป็นเทพที่เสียสละตนเองเพื่อสร้างจักรวาลขึ้นมา จึงได้รับการยกย่องให้เป็น “เทพแห่งการให้กำเนิด” นั่นเองค่ะ
ด้านข้างของศาลเจ้ามีต้นสนคู่หรือต้นสนแฝดเรียกว่า เร็นริ โนะ ซาคาคิ (Renri no Sakaki) เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีต้นไม้สองต้นอยู่บนรากฐานลำต้นเดียวกัน และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ได้รับการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานในเกียวโต โดยมีความเชื่อว่าหากอธิษฐานต่อหน้าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการคู่ครองและการคลอดบุตร เราจะได้รับพลังอันมหัศจรรย์จากเทพเจ้าค่ะ
ดังนั้นศาลเจ้าแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงในฐานะศาลเจ้าที่เสริมพลังในการแต่งงาน การคลอดบุตรอย่างปลอดภัย การดูแลเด็ก และความสามัคคีในครอบครัว นอกจากนี้ เครื่องรางที่จำหน่ายอยู่ที่สำนักงานของศาลเจ้ายังได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากว่ากันว่าจะนำโชคดีมาสู่การแต่งงานนั่นเองค่ะ
โรมง (Romon)
หลังจากผ่านประตูโทริอิมาแล้ว จะเข้ามาถึงประตูหลักของศาลเจ้าสีแดงสดที่ชื่อว่า โรมง (Romon) [ดูแผนที่] เป็นจุดที่คนนิยมถ่ายรูปกันอย่างมากค่ะ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้เราจะได้เห็นซากุระอยู่หน้าประตู ในฤดูร้อนประตูสีแดงจะถูกล้อมรอบด้วยป่าสีเขียวขจี จึงเป็นจุดที่สวยในทุกฤดูกาล ใครจะแชะภาพก็แนะนำให้แชะตรงนี้เลยค่ะ เนื่องจากว่าด้านในจะมีสิ่งกีดขวางอื่นๆ ค่ะ ถ่ายรูปตรงนี้จะสวยกว่าค่ะ
ไมโดโนะ (Maidono)
เมื่อผ่านเข้าประตูมาแล้วก็จะเจอ ไมโดโนะ (Maidono) [ดูแผนที่] ตั้งเด่นอยู่ตรงลานกว้างของศาลเจ้า ที่นี่ใช้เป็นศาลาประกอบพิธีต่างๆ การแสดงดนตรีและการร่ายรำ เราจะพบศาลาลักษณะนี้ได้ในหลายๆ ศาลเจ้าในญี่ปุ่นเลยค่ะ
โกโตะฉะ (Kotosha)
โกโตะฉะ (Kotosha) [ดูแผนที่] ที่สถิตย์ของสัตว์ 12 ราศี การขอพรก็เพียงแค่สวดมนต์อธิษฐานที่ศาลเจ้าที่ประดิษฐานตามราศีของเรา ซึ่งทำให้มีความน่าสนใจมากกว่าการไปศาลเจ้าทั่วไปในญี่ปุ่น ที่ไม่ค่อยมีศาลเจ้าที่เป็นสำหรับจักรราศีเท่าไหร่ หากเพื่อนๆ ได้ไปสักครั้ง ก็ลองไปสักการะดูนะคะ ลองดูว่าราศีของเราในศาลเจ้าญี่ปุ่นจะเป็นแบบไหนค่ะ
แม่น้ำมิตาราชิ (Mitarashi River)
ที่แม่น้ำมิตาราชิ (Mitarashi River) [ดูแผนที่] แม่น้ำเล็กๆ ภายในบริเวณศาลเจ้านั้น เมื่อถึงช่วงก่อนผลัดเปลี่ยนฤดูจะมีน้ำใสพุ่งออกมาจากก้นบ่อรอบๆ มีรูปร่างเป็นตุ่มกลมๆ ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีความเชื่อว่าหากเอาเท้าจุ่มน้ำในวันที่น้ำพุ่งขึ้นมา เราจะรอดพ้นจากความเจ็บป่วยด้วยค่ะ
ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จะมีการทำพิธี “มิตาราชิมัตสึริ (Mitarashi Matsuri)” ผู้คนมักจะมาขอพรเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีทางศาลเจ้าก็มีพิธีชำระล้างอีกด้วย นับว่าเป็นศาลเจ้าที่มีงานและพิธีการต่างๆ มากมายตลอดปีจริงๆ ค่ะ
อาจจะเป็นโชคดีของเราในวันที่ไปเที่ยว ทางศาลเจ้ากำลังมีพิธีการแต่งงานแบบญี่ปุ่นพอดี ด้วยบรรยากาศของสถานที่และการแต่งกายแบบโบราณ ประกอบกับอากาศที่สดใส ทำให้เรารู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์และมนต์ขลังของพิธีการได้ไม่น้อยเลยค่ะ เป็นความบังเอิญที่ดีใจมากๆ เพิ่งจะเคยเห็นงานแต่งงานที่เกียวโตเป็นครั้งแรกค่ะ
ส่งท้าย
เรามาเกียวโตหลายครั้งแต่ไม่เคยมาที่ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine) แห่งนี้เลย ค่อนข้างประทับใจกับหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนาน รู้เลยว่าสถานที่แบบนี้มันต้องมีของดี เขาถึงยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่โบราณ และการได้เจอป่าใจกลางเมืองแบบนี้ เหมือนได้รับการเยียวยาจากธรรมชาติด้วยค่ะ
ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่เที่ยวได้ทุกฤดูกาล แต่ถ้ามาช่วงฤดูใบไม้ร่วงน่าจะสวยงามมากเป็นพิเศษ เพราะว่าเป็นสถานที่แนะนำในการชมใบไม้เปลี่ยนสีค่ะ และทางศาลเจ้าก็ยังมีการจัดกิจกรรมตลอดทั้งปี เราจะได้เห็นพิธีโบราณหลายๆ อย่างจากศาลเจ้าแห่งนี้ค่ะ ดูมีกิจกรรมให้ทำเยอะดีค่ะ เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 1-2 ชั่วโมงเลย เพราะว่าต้องเดินเยอะหน่อย แต่สนุกมากค่ะ
ค้นหาและเทียบราคาที่พักในเกียวโต
บทความเที่ยวเกียวโต (Kyoto)
การเดินทาง
- สนามบินคันไซ (Kansai Airport) และวิธีการเดินทางเข้าเมือง
- [รีวิว] รถไฟ JR HARUKA เดินทางเข้าเมืองจาก Kansai Airport
- Kansai Thru Pass พาสท่องเที่ยวคันไซแบบคุ้มๆ ด้วยรถไฟเอกชน
- JR Kansai Wide Area Pass พาสนั่งรถไฟเที่ยวทั่วคันไซ 5 วัน
สถานที่ท่องเที่ยว
› เกียวโตกลาง (Central Kyoto)
› เกียวโตตะวันออก (Eastern Kyoto)
- [รีวิว] ย่านฮิกาชิยาม่า (Higashiyama) & เจดีย์ยาซากะ (Yasaka Pagoda)
- [รีวิว] วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera Temple) วัดน้ำใสแห่งเมืองเกียวโต
- [รีวิว] ย่านกิออน (Gion) ย่านเกอิชาและไมโกะแห่งเมืองเกียวโต
- [รีวิว] ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine) ศาลเจ้ากิออน เมืองเกียวโต
- [รีวิว] สวนสาธารณะมารุยามะ (Maruyama Park) ชมซากุระที่เกียวโต
- [รีวิว] วัดชิออนอิน (Chionin Temple) ชมงานประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
- [รีวิว] วัดโชเร็นอิน (Shorenin Temple) ชมงานประดับไฟช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
- [รีวิว] วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) วัดเงินแห่งเมืองเกียวโต
- [รีวิว] ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher's Path) ในเกียวโต
- [รีวิว] วัดเอคันโด (Eikando Temple) ชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ
- [รีวิว] วัดนันเซนจิ (Nanzenji Temple) ชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ
› เกียวโตตะวันตก (Western Kyoto)
- [รีวิว] อาราชิยาม่า (Arashiyama) ชมป่าไผ่และใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโต
- [รีวิว] วัดเทนริวจิ (Tenryuji Temple) ชมใบไม้เปลี่ยนสีในเกียวโต
- [รีวิว] สะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสี
› เกียวโตเหนือ (Northern Kyoto)
- [รีวิว] วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) วัดทองแห่งเมืองเกียวโต
- [รีวิว] วัดฮมมันจิ (Homman-ji Temple) ชมซากุระยักษ์ยืนหนึ่ง
- [รีวิว] ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine) ศาลเจ้าบันไดสวย
- [รีวิว] วัดรุริโคอิน (Rurikoin Temple) ชมวิวภาพสะท้อนราวกับฝัน
› เกียวโตใต้ (Southern Kyoto)
- [รีวิว] ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Taisha) ศาลเจ้าเสาแดง
- [รีวิว] วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) ชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ
- [รีวิว] เมืองอุจิ (Uji) เมืองชาเขียว & วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)
- [รีวิว] วัดไดโกจิ (Daigoji Temple) ชมเจดีย์กลางน้ำและใบไม้เปลี่ยนสี
- [รีวิว] วัดซันจูซันเก็นโด (Sanjusangendo Temple) วัดเจ้าแม่กวนอิม
- [รีวิว] วัดโชจุอิน (Shojuin Temple) วัดหน้าต่างหัวใจ
ร้านอาหาร
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com