สวัสดีค่า วันนี้เราจะพาไปท่องเที่ยวเมืองโบราณที่ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตกเอาไว้ด้วยกัน ณ เขตอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง (Kurashiki Bikan Historical Quarter) ในจังหวัดโอคายาม่า (Okayama) หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันก็คือ เมืองคุราชิกิ (Kurashiki) นั่นเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นเมืองเก่า แต่ด้วยการดูแลรักษาอย่างดี ทำให้เมืองนี้ยังมีหลายสถานที่ซึ่งยังเปิดใช้งานได้จริงๆ ค่ะ ไปดูกันดีกว่านะคะ ว่าจะสวยงามขนาดไหน
เกี่ยวกับเขตอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง (Kurashiki Bikan Historical Quarter)
ประวัติความเป็นมา
เขตอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง (Kurashiki Bikan Historical Quarter / 倉敷美観地区) ตั้งอยู่ที่เมืองคุราชิกิ (Kurashiki) ในจังหวัดโอคายาม่า (Okayama) เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดเลยทีเดียว ด้วยเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร อาทิ กำแพงดินสีขาวของโกดังและบ้านโบราณที่เรียงรายไปตลอดเส้นข้างทาง คลองสายเล็กๆ ที่สามารถล่องเรือชมวิวได้
สิ่งปลูกสร้างโบราณหลายแห่งภายในเมืองคุราชิกินั้นสร้างในสมัยเอโดะจนถึงสมัยเมจิ (ประมาณปี ค.ศ. 1603 – 1912) ซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองเฟื่องฟูอย่างมากของญี่ปุ่น โดยเป็นช่วงที่มีการค้าขายกับทางตะวันตก จนเกิดการผสมผสานกันทางวัฒนธรรมและออกมาเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกร่วมสมัย ซึ่งยังคงมีการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ปัจจุบัน บ้านและโกดังโบราณและสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้มีการดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ พิพิธภัณฑ์ โรงแรม ลานเบียร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้เมืองนี้มีการผสมผสานของสถาปัตยกรรมโบราณได้อย่างลงตัว
วิธีการเดินทาง
- จากสถานี JR Okayama
- นั่งรถไฟสาย JR Sanyo Line มาลงที่สถานี Kurashiki ใช้เวลาประมาณ 11-17 นาที (ขึ้นอยู่กับขบวนรถ) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 3 นาที
- จากสนามบิน Okayama Airport
- นั่งรถบัสจากสนามบินที่ Airport Bus Stop No.3 มาลงที่สถานี Kurashiki ใช้เวลาประมาณ 35 นาที แล้วเดินต่ออีกประมาณ 15 นาที หรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 3 นาที
รีวิวเที่ยวเขตอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง (Kurashiki Bikan Historical Quarter)
แอดมินไปเที่ยวคุราชิกิในช่วงเดือนสิงหาคมซึ่งตรงกับฤดูร้อนก่อนโควิด-19 ระบาดนะคะ แม้ว่าจะเป็นหน้าร้อน แต่ก็มีข้อดีคือนักท่องเที่ยวไม่หนาแน่น เดินเล่นชมวิวได้ชิลมากๆ และอาหารการกินอย่างผลไม้ก็อร่อยมากด้วยค่ะ โดยเป็นฤดูกาลที่ของดังของจังหวัดโอคายาม่าอย่างลูกพีชและองุ่นกำลังออกผลให้ได้กินกัน เป็นผลไม้ที่ช่วยคลายร้อนได้ดีมากๆ เลยนะคะ
คลองคุราชิกิ (Kurashiki Canal)
การเดินทางจากสถานี Kurashiki มายังโซนเมืองเก่าที่มคลองนี้ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 15 นาที หรือใครขึ้เกียจเดินก็นั่งแท็กซี่เลยค่ะ พอมาถึงก็ออกมาเดินเล่นก่อนเลย ตั้งแต่ช่วงเช้าเกือบสายๆ อากาศยังไม่ร้อนมาก คือเงียบแบบเงียบมากๆ เหมาะกับการออกกำลังกายสุดๆ ไม่มีรถเลย สิ่งที่สะดุดตาเป็นอย่างแรกคือคลองคุราชิกิ (Kurashiki Canal)สายเล็กๆ สายนี้ค่ะ เป็นคลองที่จะปรากฎอยู่ในเกือบทุกรูปที่เกี่ยวกับคุราชิกิเลยก็ว่าได้ แต่น้ำไม่ใสขนาดนั้นนะคะ สีธรรมชาติค่ะ
ริมฝั่งสองข้างส่วนใหญ่เป็นต้นหลิวตามแบบฉบับความนิยมในสมัยเอโดะ ไปทางไหนก็มีแต่ต้นหลิวหลากหลายชนิด นอกจากนี้ก็มีซากุระด้วย แต่ช่วงหน้าร้อนก็จะเขียวเหมือนกันหมดเลย ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็จะมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมด้วยค่ะ เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ตามริมน้ำค่ะ พกร่มไปด้วยนะคะ ตอนเที่ยงๆ อากาศร้อนเอาเรื่องเหมือนกัน อุณหภูมิตอนนั้นประมาณ 33 องศา เบาะๆ สำหรับแอดมินที่อุณหภูมิเกิน 27 องศาก็เกือบจะเป็นลมแล้วค่ะ แต่สำหรับคนไทยบางคนก็อาจจะชิลๆ ก็ได้ค่ะ
เอาบรรยากาศช่วงใบไม้เปลี่ยนสีมาฝากกันเล็กน้อย ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน สีสันก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบจากช่วงหน้าร้อนค่ะ ใครชอบอากาศเย็นๆ ก็แวะมาช่วงนี้ก็จะยิ่งฟินนะคะ
ทัวร์ล่องเรือคุราชิกิ (Traditional Boat Tour of Kurashiki Canal)
เดินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอทีมหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เชี่ยวชาญด้านการพายเรือนั่งพัดแก้ร้อนกันอยู่ใต้ต้นสนกันค่ะ ดูๆ ไปก็ได้บรรยากาศสุดๆ เลยนะคะ ถ้าเราไปเที่ยวแล้วใส่ชุดยูกาตะไปด้วยคงจะเข้ากันมากๆ (ใส่กิโมโนไม่ไหวค่ะ ร้อนเกินไปสำหรับฤดูร้อน) ใครไม่อยากเดินก็ใช้บริการนั่งเรือชมเมืองได้นะคะ เป็นทัวร์ล่องเรือแบบดั้งเดิมของคลองคุราชิกิ (Traditional Boat Tour of Kurashiki Canal) ใช้เวลาต่อรอบประมาณ 20 นาที เวลาที่เรือลอดใต้สะพานหินเตี้ยๆ คนที่พายเรือต้องใช้ทักษะในการพาผู้โดยสารลอดผ่านช่องแคบใต้สะพาน เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของกิจกรรมนี้เลยค่ะ
ข้อมูลบริการ Traditional Boat Tour of Kurashiki Canal
- ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็ก 250 เยน
*ซื้อตั๋วได้ที่ Kurashikikan Tourist Information Office - เวลาทำการ: 9:30 – 17:00 น. (เรือออกทุก 30 นาที)
*อาจหยุดให้บริการเนื่องจากสภาพอากาศ - วันหยุด:
- มีนาคม – พฤศจิกายน หยุดทุกวันจันทร์ที่ 2 ของเดือน
*หากตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์จะเปิดให้บริการ - ธันวาคม – กุมภาพันธ์ เปิดเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
*หยุดให้บริการช่วงวันขึ้นปีใหม่
- มีนาคม – พฤศจิกายน หยุดทุกวันจันทร์ที่ 2 ของเดือน
เราไม่ได้ล่องเรือในคลอง แต่ก็มีภาพบรรยากาศมาฝากจ้า ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็ดูสดใสไปอีกแบบ มีหมวกสานให้ผู้โดยสารได้สวมบนเรืออีกด้วย สมกับชื่อทัวร์ล่องเรือดั้งเดิมเลย อิ อิ
เดินผ่านทีมพายเรือ ถัดไปก็เป็นทีมของหนุ่มรถลากกันบ้างค่ะ ส่วนตัวไม่เคยลองใช้บริการรถลากเลย แต่เขาก็น่ารักให้เราแชะภาพแบบไม่มีเหนียมอายค่ะ ช่วยประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวกันไปในตัว หนุ่มรถลากจะมีลักษณะเฉพาะนะคะ ดูแล้วจะแตกต่างกับคนญี่ปุ่นปกติ ผิวจะออกคล้ำแดด ออกผิวสีน้ำผึ้ง แก้มแดง ตัวสูงใหญ่ แข็งแรงๆ แบบนี้เลยค่ะ ใครสนใจแวะใช้บริการได้นะคะ จะได้ฟีลลิ่งแบบไฮโซสมัยโบราณหน่อยๆ
พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอฮาระ (Ohara Museum of Art)
เดินๆ กันต่อค่ะ สะดุดตากับรั้วหินที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไอวี่ ด้านในมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอฮาระ (Ohara Museum of Art) นั่นเองค่ะ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ก่อตั้งขึ้นในปีโชวะที่ 5 หรือปี ค.ศ. 1930 โดยมาโกซาบุโระ โอฮาระ เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเอกชนแห่งแรกของญี่ปุ่นที่จัดแสดงงานศิลปะตะวันตกด้วยนะคะ
ภายในมีการจัดแสดงภาพวาดระดับโลกมากมาย รวมถึงรูปปั้นที่มีชื่อเสียงอีกด้วย นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ยังได้รับ 2 ดาวจาก “มิชลินกรีนไกด์” บอกเลยว่าสายอาร์ทอย่าพลาด! แต่ชีวิตแอดมินนั้นบุญมีแต่กรรมบังค่ะ เพราะว่าวันที่ไปเขาหยุดทำการ จึงไม่ได้เยี่ยมชมด้านใน
ข้อมูลการเยี่ยมชม Ohara Museum of Art
- ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็กนักเรียน (ประถม-มัธยมปลาย) 500 เยน
- เวลาทำการ: 9:00 – 17:00 น. (เข้าก่อน 16:30 น.)
- วันหยุด:
- ทุกวันจันทร์ (หากตรงกับวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดชดเชยจะเปิดทำการ)
- ช่วงวันหยุดฤดูหนาว
*เปิดทุกวันตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม และตุลาคม
เยี่ยมชมฝั่งริมน้ำกันไปแล้วก็มาเยี่ยมชมฝั่งบ้านเรือนกันบ้างค่ะ อย่างที่แอดมินบอกไปแล้วเมื่อตอนต้นบทความว่าอาคารต่างๆ แม้จะยังคงรูปลักษณ์แบบโบราณแต่ว่าก็ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสมจนกลายเป็นร้านอาหาร และคาเฟ่ต่างๆ มากมาย ดูเผินๆ แบบนี้แล้วไม่รู้เลยนะคะว่าเป็นร้านอะไร ฮ่าๆ หน้าตาคือดั้งเดิมมากค่ะ
หากสังเกตดีๆ กำแพงบ้านเรือนที่มีสีขาวล้วนจะมีลวดลายสีดำสลับขาวอยู่หลายๆ แห่ง สถาปัตยกรรมแบบนี้เรียกว่า “กำแพงนามาโกะ (Namako)” ซึ่งมีความหมายว่า “ปลิงทะเล” เนื่องจากมีลักษณะคล้ายปลิงทะเลนั่นเองค่ะ ปัจจุบันอาจจะดูธรรมดา แต่กำแพงสไตล์นี้สร้างขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน จึงนับว่าเป็นความมีสไตล์ในแบบของคนญี่ปุ่นย้อนยุคจริงๆ ค่ะ ใครสนใจไปแวะส่องได้นะคะ เป็นกำแพงมีความนูนเว้าแบบ 3 มิติด้วยนะ!
มาถึงที่ขนาดนี้แล้วจะไม่ซื้อของฝากได้ยังไง แอดมินก็ชอบแวะค่ะ แวะมันทุกร้าน ยิ่งช่วงนี้เป็นฤดูกาลผลไม้ยอดฮิตอย่างลูกพีชและองุ่น และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่โด่งดังของที่นี่ เช่น งานเดนิมในรูปแบบต่างๆ รวมถึงงานหัตถกรรม งานศิลปะ เครื่องปั้นนั้นก็มีขายทุกอย่างค่ะ สามารถเลือกซื้อได้ตามอัธยาศัย
ถนนเดนิมเมืองคุราชิกิ (Kurashiki Denim Street)
เดินไปเรื่อยๆค่ะ อย่าท้อถอยค่ะ เราจะผอมด้วยการเดินท่องไว้นะคะ อิ อิ หลังจากเดินนับก้าวอยู่หลายนาทีก็มาถึงยังถนนเดนิมเมืองคุราชิกิ (Kurashiki Denim Street) ในความคิดของเราคือมันให้ฟิลลิ่งแบบตรอกเล็กๆ ของบ้านเรามาก แต่ว่าอัดแน่นไปด้วยร้านที่ขายเดนิมในรูปแบบต่างๆ ป้ายร้านยังเป็นเดนิมทุกร้านเลย แต่แอดมินไม่กล้าเข้าหมดทุกร้านนะคะ ไม่ใช่สายนี้ แต่ว่าความโด่งดังของเดนิมที่นี่คือ การใช้เครื่องไม้เครื่องมือในท้องถิ่นในการผลิต ดังนั้นจึงมีจุดที่ทำให้เดนิมที่ขายทั่วไปในท้องตลาดไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ให้ความรู้สึกแบบลิมิตเต็ดดีจริงๆ เรียกว่าเป็นเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนก็ว่าได้ค่ะ
ข้อมูลการเยี่ยมชม Kurashiki Denim Street
- ค่าเข้าชม: ฟรี
- เวลาทำการ: 9:30 – 17:30 น.
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช้สายยีนส์หรือเดนิมใดๆ แต่เราก็สามารถอินกับความเป็นเดนิมได้ ด้วยสกิลการเป็นสายกินของเรา! มาทั้งทีก็ต้องลองอาหารแบบเดนิมกันค่ะ คือบางอย่างก็มีสีสันก็ไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่ แต่แปลกดีก็เลยอยากลองค่ะ จัดไปซาลาเปา 1 ลูก 350 เยน (ประมาณ 100 บาท) ชื่อเรียกง่ายๆ ว่า “ซาลาเปาเดนิม” ไส้ด้านในคือไส้หมูนะคะ คนไทยทานได้สบายๆ ค่ะ ถัดมาข้างๆ ก็ “เดนิมเบอร์เกอร์” และเมนูเครื่องดื่ม “เดนิมสควอช” เป็นเครื่องดื่มโซดาสีน้ำเงินแบบเดนิมและมีลูกพีชสีขาวด้านบน
หมายเหตุ: สีน้ำเงินในอาหารมาจาก ‘การ์ดีเนีย บลู’
เราก็จัดไปค่ะ ซาลาเปาหนึ่งลูกกรุบๆ เพราะอย่างอื่นขายหมดเกลี้ยง! ขายดีจริงๆ ซาลาเปาลูกไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทาน 3-4 คำใหญ่ๆ ก็หมด (น่าจะหิวเกินไป) ไส้อร่อยดีค่ะ เป็นหมูสับผัดกับผัก ไม่เหมือนซาลาเปาไทย รสออกเค็มๆ กินเสร็จแล้วก็เดินเยี่ยมชมให้ครบทั้งซอยแล้วไปยังจุดหมายต่อไปกันค่ะ
เดินมาประมาณ 5-10 นาที อ้อยอิ่งบ้างตามระยะทาง ความเดนิมก็ติดตามเรามาแบบไม่ห่างหาย ป้ายร้านไหนที่เป็นสียีนส์ สีน้ำเงิน แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับสีน้ำเงินไม่ก็เดนิมแน่นอน เดินอยู่นานก็เห็นกำแพงอิฐสีส้มๆ ที่แตกต่างกับฝั่งญี่ปุ่นโบราณอีกด้านหนึ่ง และนั่นก็คือโรงงานทอผ้าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนั่นเองค่า ส่วนทางด้านที่รถตรงไป บนเขามีศาลเจ้าด้วยนะคะ แต่เวลาไม่พอเลยไม่ได้ไปต่อ
กำแพงด้านหลังนั้นคือ คุราชิกิ ไอวี่ สแควร์ (Kurashiki Ivy Square) ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว แชะภาพรวมกันสักเฟรมค่า รอบนี้ไปกันหลายคน คนก็จะวุ่นวายๆ หน่อยๆ ดีที่นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ ไม่เช่นนั้นคงมีหลงอย่างแน่นอน แต่หน้าร้อนแบบนี้กำลังคิดว่าถ่ายรูปยังไงไม่ให้เหมือนประตูท่าแพที่เชียงใหม่ดี ฮ่าๆ คนไทยก็เชี่ยวชาญเรื่องอากาศร้อนเหลือเกิน ร้อนขนาดนี้ยังใส่แขนยาวกันได้ คนญี่ปุ่นหน้าแดงแล้วแดงอีก รู้สึกว่าคนไทยช่างมหัศจรรย์จริงๆ
คุราชิกิ ไอวี่ สแควร์ (Kurashiki Ivy Square)
จากกำแพงเมื่อครู่ก็เดินเข้ามาด้านในคุราชิกิ ไอวี่ สแควร์ (Kurashiki Ivy Square) เดินเมาส์มอยไปด้วย ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปด้วย ก็เจอลานเบียร์ค่ะ บ้านเรามักจะมีการจัดลานเบียร์ในฤดูหนาว แต่ญี่ปุ่นที่อากาศหนาวเย็นเกือบตลอดปีจึงมักจะจัดในฤดูร้อน ช่วงอากาศร้อนๆ จิบเบียร์เย็นๆ เป็นอะไรที่ฟินมากสำหรับที่นี่
คุราชิกิ ไอวี่ สแควร์ (Kurashiki Ivy Square) เป็นสถานที่ซึ่งรวบรวมร้านอาหาร ร้านของฝาก พิพิธภัณฑ์ และโรงแรมเอาไว้ในที่เดียวกัน เป็นการดัดแปลงมาจากโรงงานปั่นด้ายในศตวรรษที่ 18 และในปี ค.ศ. 2017 ที่ผ่านมาที่นี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “มรดกแห่งญี่ปุ่น” อีกด้วยค่ะ จุดเด่นคือการอนุรักษ์รูปแบบของอาคารดั้งเดิมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด อาคารก่อสร้างด้วยอิฐสีแดง ตามความนิยมแบบตะวันตกสมัยก่อน หลังคารูปฟันเลื่อยแบบโรงงานอุตสาหกรรม เราสามารถมาพักผ่อน รับประทานอาหาร และชมสถาปัตยกรรมแห่งนี้ได้ในที่เดียวกันเลยค่ะ นอกจากนี้เราจะได้เห็นเครื่องไม้เครื่องมือการปั่นด้ายในบางโซนอีกด้วยนะคะ
ข้อมูลการเยี่ยมชม Kurashiki Ivy Square
- ค่าเข้าชม:
- สามารถเยี่ยมชมบริเวณด้านนอกได้ฟรี
- มีค่าเข้าชมสำหรับพิพิธภัณฑ์และการร่วมกิจกรรมต่างๆ
- เวลาทำการ: ขึ้นอยู่กับร้าน
ส่วนอาคารด้านหลังเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารของที่นี่ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงใบไอวี่ที่อยู่บนกำแพงจะเปลี่ยนจากสีเขียวจะกลายเป็นสีแดงส้ม ส่วนเรามาตอนหน้าร้อนก็ชมความเขียวของน้องตามรูปที่เห็นก่อนหน้านะคะ
ใบไอวี่ในรูปตัวอย่างด้านบนนี้ร่วงไปเยอะแล้ว ถ้ามาตรงกับช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสี ก็สวยงามเหนือคำบรรยายค่ะ และนอกจากนี้ก็ยังมีต้นสนแดงขนาดใหญ่อีกด้วยนะคะ
เดินเที่ยวคุราชิกิทั้งวันกันจนเหนื่อยแล้วก็กลับเข้าสู่ย่านของเมืองโบราณกันอีกครั้ง เดินจาก KuraKurashiki Ivy Square ประมาณ 5-7 นาที คราวนี้เราก็มองหาร้านอาหารญี่ปุ่น เพื่อรับประทานมื้อเย็นกันค่ะ บังเอิญได้วิวสวยๆ ของพระอาทิตย์ยามเย็น ก็เลยมาฝาก บ้านเรือนเริ่มเปิดไฟหน้าบ้านกันแล้ว อากาศเย็นกว่าตอนกลางวันทำให้เดินชมเมืองได้สบายมากขึ้น เดินไปเรื่อยๆ กว่าจะได้ร้านก็เกือบมืดแล้วค่ะ
ร้านอาหาร BANYA
ดูเมนูอยู่หลายร้าน สุดท้ายก็เลือกร้านนี้ค่ะ ชื่อร้าน BANYA (鷭屋) เป็นร้านอาหารมีความเป็นอิซากายะ (ร้านนั่งดื่มแบบญีุ่่ปุ่น) มีในเว็บร้านอาหารแนะนำของญี่ปุ่นด้วยนะคะ เราสามารถรับประทานอาหาร กับแกล้ม แล้วนั่งดื่มได้ชิลจนดึกเลยค่ะ ร้านเปิดถึง 5 ทุ่ม มาตั้งแต่ 6 โมงเย็น ฮ่าๆ ภายนอกร้านยังเป็นสไตล์โบราณเหมือนบ้านอื่นๆ ค่ะ กำแพงขาวและกำแพงแบบมานาโกะ ให้ความรู้สึกถึงความเป็นท้องถิ่นจริงๆ ส่วนข้อดีของร้านนี้คือ ใครอ่านไม่ออกก็ดูรูปแล้วจิ้มๆ เอาค่ะ
ข้อมูลร้าน BANYA
- เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์:
- ช่วงกลางคืน 17:00 – 23:00 น. (Last Order 22:30 น.)
- เวลาทำการ วันเสาร์-อาทิตย์:
- ช่วงกลางวัน 11: 00 – 15: 00 น. (Last Order 14:30 น.)
- ช่วงกลางคืน 17:00 – 23:00 น. (Last Order 22:30 น.)
ด้านในร้านคือร้านอาหารญี่ปุ่นมากๆ นั่งแบบเอาขาหย่อนลงพื้นใต้โต๊ะ แค่บอกจำนวนคนรอ ไม่กี่นาทีเขาก็จะจัดที่นั่งให้แบบนี้ค่ะ การจัดโต๊ะขึ้นอยู่กับว่าร้านนั้นจัดแบบไหน บางร้านจัดเยื้องกัน บางร้านจะจัดแบบคู่ ร้านนี้จัดโต๊ะเตรียมพร้อมด้วยถั่วแระญี่ปุ่นต้ม เป็นโอซึมามิ (กับแกล้มรองท้อง) ที่มักจะเตรียมเอาไว้เสิร์ฟลูกค้าตังแต่เข้าร้านมาเลยค่ะ พร้อมแล้วก็สั่งอาหารโลด
เราสั่งอาหารไปเยอะ เยอะจนจำไม่ได้ค่ะ แต่เอาใจสายดื่มหน่อยก็คือตับย่างราดซอสทาเระ (ซอสรสหวานๆ เค็มๆ) รสชาติดีและเข้มข้นตามแบบของแกล้มเหล้า ดื่มกับเบียร์หรือเครื่องดื่มกำลังดี ไม่มีแห้งไม่ไหม้ สุกกำลังดี แนะนำให้กินตอนร้อนๆ ถ้าเย็นแล้วเนื้อตับจะแข็ง กัดไป 3 คำ ดื่มเหล้าบ๊วย 2-3 อึก หมดแล้วว ฮ่าาา
เมนูต่อมาเรียกว่าเป็นเมนูที่ร้านอิซากายะแทบทุกร้านต้องมี นั่นก็คือ ซึคิมิ สึคุเนะ (Tsukimi Tsukune) ความหมายของสึคุเนะ คือลูกชิ้น แค่ว่าไม่ได้ทำเป็นลูก ทำมาชิ้นเป็นยาวๆ แบบนี้เลย “ซึคิมิ” หมายถึงพระจันทร์ (ไข่แดง) รวมกันแล้วพูดง่ายๆ คือ “ลูกชิ้นย่างกับไข่แดง” นั่นเอง วิธีทานก็หยอดโชยุลงไป (บางร้านอาจใส่มาให้แล้ว) แล้วนำลูกชิ้นย่างจิ้มลงไปกลางใข่แดงดิบ ให้ไข่แดงเคลือบลูกชิ้นมาแล้วทาน จะได้รสชาติลูกชิ้นย่างร้อนๆ กับไข่แดงมันๆ อร่อยดีค่ะ ใครทานไข่ดิบไม่ได้โปรดหลีกเลี่ยง
เมนูต่อมาหน้าตาไม่แปลกมาก เรียกง่ายๆ ว่าไก่ทอดธรรมดา แต่ว่าญี่ปุ่นจะให้เลือกว่าไก่ทอดที่ปรุงรสด้วยเกลือหรือโชยุ ถ้าเป็นเมืองไทยคงใส่รวมกันไปแล้ว ฮ่าๆ ดูจากสีเหลืองทองอ่อนๆ แบบนี้ ส่วนใหญ่จะทอดเกลือแล้วโรยด้วยงาขาวและดำ ถ้ามีข้าวเหนียวจะเลิศมาก แต่ไม่ได้ค่ะ อยู่ญี่ปุ่นก็ทานแบบนี้เลย ทานเป็นกับแกล้มเครื่องดื่ม เค็มนิดหน่อย ดื่มสักอึกสองอึก รสชาติกำลังดี แต่ไม่ค่อยอิ่ม 555
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกมากมาย แต่ว่าเราถ่ายรูปไม่ทัน เพราะทุกคนไวกันมากกก แนะนำว่าถ้าอยากดื่มชิลๆ ยันดึก ก็ไม่ต้องกินข้าวมาก่อนค่ะ มานั่งดื่มนั่งกินแบบนี้ ถึงไม่มีข้าวสักพักก็อิ่ม แต่ถ้าอยากกินข้าวด้วย เขาก็จะมีข้าวผัดหรือราเม็งเอาไว้ให้สั่งแก้หิวค่ะ แต่ตัดกำลังท้องไปเยอะ ส่วนคนไทย ถ้าไม่ดื่มก็ควรไปร้านอาหารปกติค่ะ ราคาถูกกว่า อิ่มกว่าด้วย ร้านแบบนี้เน้นกับแกล้ม ราคาสูงกว่าร้านอาหารที่เป็นเซ็ตนะคะ
ส่งท้าย
หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารและเครื่องดื่มกันเสร็จแล้ว ก็เดินย่อยกลับไปที่สถานี Kurashiki กันค่ะ ก่อนนั่งรถไฟกลับก็ขอถ่ายรูปสถานที่สวยๆ ตรงหน้าสถานีไว้ซักหน่อย ตรงลานที่มีนาฬิกาแบบยุโรปนี้มีชื่อว่า Andersen Square ส่วนอาคารด้านหลังนั้นก็เป็นห้าง แต่อย่าถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลานะคะ ต้องดูรอบรถไฟเอาไว้ด้วย เดี่ยวตกรถเอา เราพักที่ตัวเมืองโอคายาม่าก็สะดวกสบายดีค่ะ ใช้เวลานั่งรถไฟไม่เกิน 20 นาที แถมยังเดินทางไปจุดอื่นๆ ในเมืองได้สะดวกอีกด้วย สำหรับวันนี้ก็ขอจบรีวิวการท่องเที่ยวคุราชิกิไว้เพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า สวัสดีค่า
อ่านตอนต่อไป » [รีวิว] เที่ยวสวน Tomomien Fruit Farm เก็บลูกพีชขาวสดๆ จากต้นในโอคายาม่า
เทียบราคาโรงแรมที่พักในโอคายาม่า
บทความเที่ยวโอคายาม่า (Okayama)
สถานที่ท่องเที่ยว
- [รีวิว] ปราสาทโอคายาม่า (Okayama Castle) & สวนโคราคุเอ็น (Korakuen Garden)
- [รีวิว] เมืองเก่าคุราชิกิ (Kurashiki Bikan Historical Quarter)
- [รีวิว] Tomomien Fruit Farm เก็บลูกพีชขาวสดๆ ที่สวนในโอคายาม่า
โรงแรมที่พัก
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com