❝ เพลิดเพลินกับบ่อน้ำพุร้อนส่วนตัวและคอร์สอาหารอร่อยๆ ที่โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่น Oyado Eitaro พร้อมสัมผัสกิจกรรมฤดูหนาวเป็นครั้งแรก ❞
สวัสดีค่า หน้าหนาวแบบนี้ถ้ายังไม่มีคนให้กอด ก็อยากจะชวนมาทำอะไรสนุกๆ ด้วยกันค่ะ รับรองเพื่อนๆ จะเอนจอยจนลืมอากาศติดลบไปเล้ยยยย วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปอบอุ่นร่างกายและหัวใจกันแบบฟินๆ ได้สัมผัสกับหิมะเย็นๆ นุ่มละมุน และสนุกไปด้วยกันกับกิจกรรม Snow Shoes หรือกิจกรรมเดินป่าด้วยรองเท้าเดินหิมะท่ามกลางหิมะที่น่าสนใจมากกก
คร้ังนี้เราจะไปเดินกันที่ฮิรายุออนเซ็น (Hirayu Onsen) หมู่บ้านออนเซ็นชื่อดังในจังหวัดกิฟุ (Gifu) จ้า เป็นหมู่บ้านออนเซ็นที่อยู่ตรงเทือกเขาเจแปนแอลป์ มีวิวหิมะที่สวยเว่อร์มาก และวิวแบบนี้ในเมืองอย่างโตเกียว ไม่มีให้เห็นแน่ๆ และอยู่ตรงกลางระหว่างสถานที่ท่องเที่ยวที่คนไทยรู้จักกันดี อย่างคามิโคจิที่ต่อรถบัสแค่ 30 นาที หรือถ้าอยากไปเที่ยวในตัวเมืองทาคายามะ ก็นั่งรถบัสอีกแค่ 1 ชั่วโมง ไปเที่ยวที่ต่างๆ ได้สะดวกขนาดนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้ว!
กิจกรรม Snow Shoes สามารถจองผ่านทางออนไลน์เลยค่ะ ด้วยความที่ต้องมีไกด์และมีอุปกรณ์ในการเดินด้วย ทางผู้ให้บริการจะจัดการเดินเป็นกลุ่มเพื่อดูแลความปลอดภัยให้เราค่ะ รอบนี้เราไปเดินประมาณเกือบครึ่งวัน ซึ่งราคาก็จะแตกต่างกันออกไป ตามที่ทางบริษัทหรือเว็บต่างๆ โดยทัวร์มีทั้งภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษให้เลือกกัน ตามความสะดวกเลยจ้า
ต่อมาก็ต้องหาที่พักที่ตรงใจเราที่สุด ณ เวลานี้คือขอออนเซ็นเป็นไฮไลท์ที่อยากได้เลยค่ะ และแล้วก็ไปเจอของดีเข้าให้แล้ววว ชื่อโรงแรม Oyado Eitaro หรือ “โอยะโดะ เอะอิตะโระ” เป็นที่พักแบบญี่ปุ่น หรือเรียวกัง ที่หน้าเว็บไซต์มีภาษาไทยด้วย ซึ่งดีมากๆ เพราะน้อยนักที่เรียวกังจะมีรายละเอียดภาษาไทยให้เราขนาดนี้ ประทับใจตั้งแต่ยังไม่จองเลยอ่ะ สุดท้ายก็ทาสการตลาดค่ะ รู้ตัวอีกทีก็จองไปแลว้ววว
เดินทางจากโตเกียวมาฮิรายุออนเซ็น
พร้อมออกเดินทางแล้ว! ยังค่ะ ยัง จะไปยังไงก่อนนน หาขอ้มูลดูแล้วง่ายมากค่ะ เรามักจะตั้งต้นจากโตเกียวกันอยู่แล้ว ก็เดินทางแบบราคาย่อมเยา และไม่เสียเวลาต่อรถหลายต่อก็ต้องเดินทางด้วยรถบัส สะดวกสุด นั่งรถยิงยาวไปเลยสวยๆ ข้อมูลการเดินทางตามรายละเอียดด้านล่างนี้นะคะ
- จุดขึ้นรถ: สถานีรถบัสด่วนพิเศษชินจุกุ (Shinjuku Expressway Bus Terminal) เดินออกจากสถานีรถไฟชินจุกุทางประตูทิศใต้
- จุดลงรถ: Hirayu Onsen Bus Terminal
- ค่าโดยสาร: 5,300 เยน
- ระยะเวลาเดินทาง: รวมประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง(พักรถ2คร้ัง)
- Remark: มีบริการ Free wifi บนรถ
สำรองตั๋วรถบัสเส้นทางสู่ฮิรายุออนเซ็นได้ที่ https://highway-buses.jp/thai/course/takayama.php
พอมาถึงจุดพักรถครั้งที่สอง Suwako Service Area (จุดพักรถสุวาโกะ) เลยเพิ่งรู้ว่าที่ญี่ปุ่นไม่ใช่แค่ที่พักรถธรรมดา แต่เป็นจุดชมวิวไปด้วย ตรงนี้เรามีเวลาประมาณ 10 นาที หลังเข้าห้องน้ำ เลยขอแว๊บไปซื้อไอติม แล้วดูวิวที่เขาลือกันหน่อย
โอโห้! สวยมากกก สีฟ้าของน้ำในทะเลสาบกับสีของท้องฟ้า ดูแล้วสบายตาสุดๆ ยิ่งยืนกินไอติมในอากาศเย็นๆไปด้วย งื้ออฟินนน ธรรมชาติบำบัดสุดๆ ว่ากันว่าถ้าไปตรงจุดชมวิว แล้วมองไปไกลๆก็เห็นวิวของอีกฝั่งภูเขา และบริเวณนี้ขึ่นชื่อเรื่องเทศกาลดอกไม้ไฟในช่วงฤดูร้อนอีกด้วย ป่ะ! ได้เวลาเดินทางต่อกันแล้ววว
ก่อนจะถึงฮิรายุออนเซ็น เราจะเริ่มเห็นหิมะขาวๆ ฟูๆ มาเรื่อยๆ เหมือนกำลังหลุดเข้าไปในเมืองหิมะ แบบในการ์ตูนที่เคยดูเลย สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้และหิมะที่ค่อยๆ กลืนไป สวยมากก พอเห็นหิมะเยอะๆแอบตื่นเต้นเพราะที่ไทยไม่มี ไม่มีเลยเจ้าค่ะ ฮ่าๆ
พักค้างคืนที่เรียวกัง Oyado Eitaro
เราออกเดินทางจากโตเกียวประมาณ 11:05 ก็มาถึงสถานีรถบัสที่ฮิรายุออนเซ็น ประมาณ 15:45 เดินจากป้ายรถบัสประมาณ 3 นาทีก็เจอป้ายโรงแรม Oyado Eitaro แล้ว (ภาษาญี่ปุ่น 栄太郎) แนะนำว่าพกชื่อภาษาญี่ปุ่นไปเทียบด้วยจะดีมากๆ อะไรมันจะใกล้ขนาดนั้นนน แต่ดีแล้วค่ะไกลกว่านี้ก็ไม่น่าจะเดินไหวฮ่าๆ เราเดินลากกระเป๋าสวยๆ แบบใหม่แบบสับ ตรงไปที่โรงแรมแล้วก็เช็คอินได้เล้ย
เจ้าหน้าที่ของโรงแรมก็แนะนำ รายละเอียดต่างๆ ดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส Welcome สุดหัวใจ พอเราเข้ามาที่ห้องก็จะเจอกับฟูกนอนแบบญี่ปุ่นเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จะได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นจากเสื่อทาทามิเปิดฮีทเตอร์อุ่นๆ ห่มผ้าห่มฟูๆ คือความสุขที่แท้ทรู
อีกหนึ่งเอกลักษณ์ของเรียวกังคือ ด้านในห้องจะเป็นห้องเสื่อทาทามิและริมหน้าต่างจะมีโซนจิบน้ำชาร้อนๆ ยิ่งในช่วงฤดูหนาวแบบนี้ดื่มชาร้อนๆ ชมหิมะตก นอกหน้าต่างบรรยากาศแบบนี้คือฟินไปอีกเป็นบรรยากาศที่ห้องพักแบบตะวันตกหาแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
ไฮไลท์ที่เรามาพักที่นี่ก็คือออนเซ็น ซึ่งทางโรงแรมก็เตรียมชุดยูกาตะและชุดสำหรับแช่ออนเซ็น เอาไว้ให้พร้อมกับของใช้ส่วนตัว ด้านในซองสีส้มมีแปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัวขนหนูสำหรับไปแช่ออนเซ็นพร้อมเว่อร์! สมเป็นเมืองแห่งออนเซ็นจริงๆ
ความพิเศษของโรงแรม Oyado Eitaro คือเราสามารถแช่บ่อกลางแจ้งแบบส่วนตัวได้ ไม่ต้องแช่รวมให้เขินอายอะไรๆ ก็เป็นใจไปหมด แนะนำเลยสำหรับคนไทยที่เขินอาย แอบบอกสักนิดว่าการแช่ออนเซ็นท่ามกลางอากาศติดลบ คือมีความสุขที่สุดในสามโลกเลยค่ะ ถ้าไปแช่กับคนรู้ใจก็แอบโรแมนติกเบาๆ นะคะ อิอิ
การแช่ออนเซ็นนั้นง่ายมาก เหมือนเราแช่อ่างที่บ้านเลย แต่ว่าเราต้องอาบน้ำให้สะอาดเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยลงไปแช่ในบ่อน้าร้อนค่ะ ค่อยๆ ลงแช่ทีละครึ่งตัวนะคะ ถ้าไปทั้งตัวอาจจะตกใจได้เพราะน้ำอุณหภูมิค่อนข้างสูง เราคนไทยที่อาบน้ำเย็นๆ มาตลอดก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ส่วนตัวมองว่า การแช่ออนเซ็นประมาณ 30 นาทีกำลังดีค่ะ
อาบน้ำแร่ชมหิมะกันเรียบร้อยแล้ว ก็กลับมาทานมื้อค่ำกันค่ะ หลังการแช่ออนเซ็นจะทำให้เราเจริญอาหารเป็นพิเศษเลย โดยเราเลือกอาหารคอร์สมาตรฐานที่รวมกับค่าที่พัก มาถึงห้องอาหารทางโรงแรมก็จัดอาหารหน้าตาน่าทานเอาไว้พร้อมป้ายชื่อของเรา ใส่ใจเก่ง ขยัน ทำให้ประทับใจจังเลย มาถึงก็ทานได้เลย รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิง บริการดีจนต้องยกนิ้วให้ความเป๊ะปังเวอร์วัง ในแบบของเรียวกังญี่ปุ่นจริงๆ ค่ะ
ส่วนอาหารจะเสิร์ฟเป็นคอร์สโดยมีเมนคอร์สเป็นเนื้อฮิดะย่างถ่านชาโคล ของทอด ของต้ม และเมนูอื่นๆ อีกมากมายที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ คืออร่อยมาก จนอยากขอเติม ฮ่าๆ ว่าแล้วก็ขอนำเสนอ 3 เมนูสุดโปรดของเรา เอาไวให้เพื่อนๆ มาตามกันค่ะ
เริ่มกันที่ อันดับ 3 ก็คืออออ
ชุดรวมอาหารท้องถิ่นของฮิดะ 【生盛膾】(いけもりなます)
ออกเสียงว่า “อิเคโมรินามาสึ” วิธีการทานคือผสมทุกอย่าง แล้วทานพร้อมกัน จะได้รสชาติแปลกใหม่ เรียกว่า เป็นรสชาติที่หาได้ยาก นิยามไม่ถูกเลยค่ะ แต่เนื้อสัมผัสมีความเบา เหมือนทานสังขยาของไทยเลยค่ะ แต่บอกเลยว่า ทานกี่ครั้งก็จะคิดถึง Oyado Eitaro ตลอด
มาต่อกันที่ อันดับ 2 อาหารทะเล (ปลา, หอยนางรม) ผักและโมจินึ่ง
ทานคู่กับน้ำจิ้มพอนสึสูตรเฉพาะของที่นี่ หน้าหนาวคนญี่ปุ่นชอบท่านของนึ่งกันค่ะ ทำให้ร่างกายอบอุ่น และความสดของวัตถุดิบที่พอทานคืออร่อยตาโตมากยิ่งทานกับน้ำจิ้มพอนสึที่รสชาติเบาๆ กำลังดี ยิ่งชูรสชาติของปลาได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงจะคล้ายกับลวกจิ้มของไทย แต่น้ำจิ้มพอนสึนี่เทียบไม่ติดเลยจริงๆ
และมาปิดท้ายกันที่อันดับ 1 ก็คือ เนื้อฮิดะ A5 ย่างบนเตาถ่านชาโคล
เนื้อฮิดะเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ มาถึงที่ขนาดนี้แล้วก็ต้องลอง ปกติอาหารดังของท้องถิ่นต้องทานถึงที่ จึงจะได้รสชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุด รสชาติก็สมกับเป็นของขึ้นชื่อ แค่เนื้อโดนความร้อนก็ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกแล้ว พอแตะโดนลิ้นก็แทบจะละลายในปากไปเลย นุ่มมากกกกอร่อยแบบตะโกน “อร่อยยยยยย!”
ที่พิเศษยิ่งกว่านั้น คือที่โรงแรมมีหน้าเว็บภาษาไทยให้เราได้อ่านกันก่อน ทางเว็บระบุเอาไว้แบบขิงๆ ว่าที่นี่ “มีปรมจารย์ด้านการทำอาหารอยู่” และเรื่อง “อาหารไม่เป็นสองรรองใคร”
ใครสนใจคอร์สอาหารและเมนูอีกมากมาย สามารถดูได้ที่นี่ https://oyado-eitaro.com/abroad-th/
ตั้งแต่เดินทางมาถึงก็ยังฟินไม่หยุดเลยความสุขมันเอ่อล้นสุดๆ นอนตะแคงยังไม่กล้ากลัวความสุขจะไหลออกจากหู (ฮ่าๆ) เป็นความฟินที่มีทั้งอาหารตาอาหารปาก อาหารใจ ร่างกายได้ผ่อนคลาย คืนนี้เราเลยหลับไปอย่างมีความสุขถึงเช้าเลยค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังอยากฟินกับออนเซ็นอีกรอบ ก็ตื่นมาแต่เช้าไปถามพี่พนกังานให้เขาแนะนำออนเซ็นให้ ซึ่งพี่เขาก็ใส่ใจเก่งอีกแล้ว แนะนำบ่อที่แช่แล้ว “สวย” เลย คือเขาเรียกกันว่า “บ่อคนสวย” แช่แล้วสวยแน่นอน ไม่ลังเลก็จัดเลยจ้าาา แช่เสร็จแล้วผิวก็จะนุ่มลื่นเหมือนผิวเด็กแรกเกิดยังไงยังงั้น
แช่น้ำร้อนแล้วก็ไปทานอาหารเช้ากันค่ะ อาหารเป็นแบบเซ็ตเช่นเคย อลังการไม่แพ้ดินเนอร์ ดีงามครบทุกเมนูสลัด ปลาย่าง เต้าหู้ทอด มิโซะย่างบนใบไม้ไข่หวาน ทานพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และซุปอุ่นๆซดให้คล่องคอแล้วรู้สึกอร่อยจนหยดุไม่ได้ เกลี้ยงทุกจาน
เติมพลังเรียบร้อยแล้วก็เช็คเอาทอ์อกจากโรงแรมกันค่ะ
ทริป 2 วัน 1 คืน มีที่พักที่สะดวกใกลสถานีขนาดนี้
โรงแรม Oyado Eitaro (โอยะโดะเอะอิตะโระ) ถือเป็นตัวเลือกที่พักที่น่าสนใจมาก เพราะเรียวกังที่มีออนเซ็นกลางแจ้งและเป็นออนเซ็นส่วนตัวมีน้อย หรือไม่ก็ราคาแรงเกินเอื้อมไปหน่อย พอมาเจอ Oyado Eitaro คือถูกจริตถูกใจสุดๆ
ถ้าใครสนใจอยากมาฟินเหมือนเรา สามารถดูรายละเอียดได้ที่หน้าเว็บไซต์ภาษาไทยค่ะ https://oyado-eitaro.com/abroad-th/
เพลิดเพลินกับกิจกรรม Snow Shoes
และแล้วก็ถึงเวลาสำหรับกิจกรรม Snow Shoes กันแล้วววว อากาศวันที่สองเป็นใจกับเรามากๆ ฟ้าปลอดโปร่ง ได้เห็นวิวสวยๆ ต่างจากวันแรกที่ฟ้าครึ้มเลย
เตรียมร่างกายมาเต็มที่แล้วก็ไปเจอสต๊าฟที่จุดนับพบได้เลยค่ะ ซึ่งเขาจะแจ้งจุดนัดพบเอาไว้ตอนที่เราจองคอร์สไว้ เมื่อถึงเวลาก็ไปเจอที่จุดนัดพบจากนั้นเขาก็อธิบายรายละเอียดให้เรารับทราบก่อนเริ่มเดินอยู่แล้วรับรองสบายหายห่วง
ขาไปจะนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนภูเขาที่สูงถึง 1,700 เมตรจากน้ำทะเล จากนั้นเดินต่ออีก 100 เมตร ตอนขึ้นกระเช้าก็หอบหิ้วข้าวของไปกันค่ะ เอาจริงๆ เดินแค่นี้เหงื่อก็เริ่มออกแล้วอากาศติดลบไม่เป็นปัญหา แต่ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่เดินในหิมะมาด้วยนะคะไม่งั้นเปียกแน่นอน
เมื่อถึงยอดเขาแล้วจะเริ่มเปลี่ยนเป็น Snow Shoes เพื่อกระจายน้ำหนัก ไม่ให้เราจมไปกับหิมะที่ทับถมกัน มีไม้ค้ำให้เราคนละ2 ชิ้น เวลาเดินขึ้นเขาหิมะ มันช่วยได้มากจริงๆ เพราะจะช่วยยึดเกาะและถ่ายเทน้ำหนักอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งพี่สต๊าฟคือน่ารักมากช่วยเหลือดูแลทุกคนอย่าง ใจดีตลอดทั้งทริปเลย
เริ่มการเดินทางกันค่ะ หลังใส่รองเท้าเดินหิมะก็รู้สึกเหมือนเป็นเพนกวินเบาๆ ตอนแรกก็ต้องระวัง เพราะจะเผลอเดินลงน้ำหนักไปนิด แล้วจะจมแบบไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นการเดิน 100 เมตร ที่เหมือนจะไม่ไกล แต่พอเดินด้วย Snow Shoes ก็ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเชียวล่ะ
พอเริ่มเดินขึ้นยอดเขา หิมะเริ่มหนาและยังมีหิมะตกตลอดเวลาอีก หนาวก็หนาวแต่ก็ร้อนด้วย งงมั้ยคะ? ผู้ร่วมทางก็ติดหลุมบ้างอะไรบ้าง ตอนเดินก็ว่าสนุกแล้วแต่ที่สนุกกว่าคือ ขำค่ะ ก้าวได้สองก้าวก็ขำกันตลอด กว่าจะไปถึงจุดชมวิวด้านบนเขาก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
จากจุดที่เราออกตัวเดินมาถึงจุดชมวิวคือความเหนื่อยทุกอย่างมันคุ้มค่ามากจริงๆ ในรูปว่าสวยแล้วของจริงสวยกว่าเป็นร้อยเท่า เราใช้เวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติตรงหน้าสักพัก (พี่สต๊าฟใจดีบอกว่าถ่ายรูปเยอะๆ เลยนะ)
จากนั้นก็ถึงตาของการเดินลงเขาค่ะ กว่าจะเดินลงมาถึงจุดที่เราออกตัวก็หกตะเมนตีลังกาไปอีก 38 ล้านรอบ เพราะว่า หิมะลื่น ยิ่งตรงทางชันไม่รู้เดินหรือกลิ้งลงมา ที่บอกว่าอยากเป็นเพนกวิ้นคือไม่เกินจริงอยากเอาพุงไถลงมาเลยฮ่าๆ
ด้านบนเขา อากาศเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เดี๋ยวมีแดด เดี๋ยวฟ้าครึ่ม แหม∼เปลี่ยนใจเร็วจริงๆ แต่ถึงอากาศจะแอบแปรปรวนไปบ้าง ก็ไม่ทำให้ความสนุกของเราวันนี้ลดลงเลย เรียกว่าสนุกแบบไม่มีอะไรมากั้น!
รวมๆ แล้วก็ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 2 ชั่วโมงแต่เป็น 2 ชั่วโมงที่สนุกมากกกกก กอไก่ล้านตัว สนุกแต่ว่าขาลากกัน เลยค่ะ ตอนนี้คิดว่าขาน่าจะมีกล้ามขึ้นยิ่งกว่าเล่นสควอชแน่ๆ
จบกิจกรรมก็ลงเขาแล้วเดินทางกลับโตเกียวด้วยรถบัสเหมือนเดิมค่ะ แนะนำเอาไว้นิดหน่อยว่าขากลับแปะพี่เสือเอาไว้เลยนะคะ เพราะตอนนั่งรถนานๆ หลังจากใช้กำลังขามากๆ จะทำให้ช่วงเท้าบวม ดูแลตัวเองให้ดีจนถึงโตเกียวก็เป็นอันจบทริป สนุกสุดฟินจนลืมเวลาไปเลยค่า
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com