ADVERTORIAL
หากพูดถึงช่วงฤดูร้อนในประเทศญี่ปุ่นหลายคนอาจจะเซย์โน เพราะอากาศในช่วงนั้นเรียกได้ว่าร้อนอบอ้าวแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากประเทศไทยเลย แต่หลังจากที่ผ่านพ้นเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงพีคของฤดูร้อนไปแล้ว อากาศก็จะเริ่มเย็นลงก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีอย่างเต็มตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนธันวาคม และในช่วงแบบนี้ล่ะค่ะก็เหมาะกับการออกไปเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้เราก็จะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่รอบนอกโตเกียว (Tokyo) กับจังหวัดไซตามะ (Saitama) แบบ 1-Day Trip ที่แม้แต่มือใหม่ก็สามารถตามรอยได้ง่ายๆ ใครที่อยากลองไปเที่ยวญี่ปุ่นนอกจากแลนด์มาร์กหรือเบื่อสถานที่ท่องเที่ยวเดิมๆ ล่ะก็อย่าลืมอ่านบทความนี้จนจบกันนะคะ
จังหวัดไซตามะ (Saitama) คือที่ไหน
ไซตามะ (Saitama) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือติดกับโตเกียว สามารถเดินทางได้ง่ายด้วยรถไฟสาธารณะจากสถานีหลักของโตเกียวโดยใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น (เวลาอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละจุดหมายปลายทาง) จุดเด่นของจังหวัดไซตามะคือนอกจากจะเดินทางได้ง่ายแล้วยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่สนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันงดงาม เป็นต้น
สำหรับใครที่สนใจอยากลองไปผจญภัยในจังหวัดไซตามะดูล่ะก็ เราขอแนะนำให้เดินทางด้วยรถไฟสายเซบุ (SEIBU) เลย เพราะทางเซบุมีตั๋วโดยสารหรือพาสเดินทางหลายประเภทตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในราคาสุดคุ้ม ซึ่งบทความนี้จะมาพูดถึง Moominvalley Park Ticket & Travel Pass เป็นพาสสุดคุ้มที่สามารถซื้อได้เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น!
รู้จัก Moominvalley Park Ticket & Travel Pass
พาสสุดคุ้มที่นั่งรถไฟสาย SEIBU ได้แบบไม่อั้น! (ไม่รวมสายทามากาวะ)
Moominvalley Park Ticket & Travel Pass เป็นพาสที่วางจำหน่ายมาเพื่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ในราคาผู้ใหญ่ 4,100 เยนและเด็ก 2,400 เยน ความคุ้มคือราคาดังกล่าวรวมตั๋วเข้าเข้าชม MOOMINVALLEY PARK แบบ 1 วัน (รวมค่าเครื่องเล่นแล้วบางส่วน) ตั๋วรถบัสไป-กลับจากป้ายสถานี Hanno ถึงป้าย Metsa (ป้ายรถบัสที่ใกล้กับ MOOMINVALLEY PARK มากที่สุด) และตั๋ว SEIBU 1-Day Pass ซึ่งนั่งรถไฟสาย SEIBU ได้ทุกสายแบบไม่อั้น (ยกเว้นสาย Tamagawa)
สถานที่ที่วางจำหน่ายพาสในญี่ปุ่น มีดังต่อไปนี้
- SEIBU Tourist Information Center Ikebukuro
- สถานี Ikebukuro เคาน์เตอร์ จำหน่ายตั๋ว limited-express ชั้น 1
- สถานี Ikebukuro เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วแบบรายเดือน ชั้น B1
- สถานี Seibu-Shinjuku เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว limited-express
- สถานี Takadanobaba เคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋ว limited-express
ครั้งนี้เราก็จะพาทุกคนไปที่ SEIBU Tourist Information Center Ikebukuro กันค่ะ สถานที่เองก็หาไม่ยากเพราะอยู่ทางทิศตะวันออก (East Exit) ของสถานี Ikebukuro สามารถเดินตามป้ายได้เลย จุดเด่นของที่นี่คือมีสต๊าฟที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้คอยให้คำแนะนำอยู่ หรือใครไม่ได้ภาษาอังกฤษก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะทาง SEIBU มีแผ่นพับแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทยให้ด้วยนะ
สำหรับใครที่ซื้อพาสมาล่วงหน้าผ่านช่องทาง Klook เพียงแค่นำ QR Code และหนังสือเดินทาง (รูปถ่ายหรือสำเนาก็ได้) โชว์ให้ทางสต๊าฟดูก็จะได้พาสน่ารักๆ แบบนี้มาครองค่ะ สำหรับวิธีใช้งานก็ง่ายมากๆ แค่ยื่นพาสให้นายสถานีดู หลังจากที่ปั๊มตราประทับเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็สามารเดินเข้าไปได้เลยไม่ต้องผ่านเครื่องตรวจตั๋ว สะดวกมากเลยใช่มั้ยล่ะคะ เอาล่ะ เมื่อเราได้พาสมาอยู่ในมือแล้วก็ออกเดินทางกันเลยดีกว่า!
เริ่มต้นออกเดินทางด้วยรถไฟ Limited Express สุดคิวท์กับ Laview
พิเศษสุดๆ กับการเดินทางออกจากโตเกียวในครั้งนี้คือเราจะนั่งรถไฟด่วน Laview (อ่านว่า “ลาวิว”) กันค่ะ โดย Laview นั้นมีคอนเซ็ปต์มาจากคำย่อภาษาอังกฤษคือ L : Luxurious Living รถไฟที่มอบประสบการณ์อันแสนหรูหรา และสะดวกสบายราวกับอยู่ในห้องนั่งเล่น a : arrow ที่แปลว่า “ลูกศร” ซึ่งเปรียบเหมือนความรวดเร็วราวกับลูกศรพุ่ง และ view หมายถึงการเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ขณะเดินทางด้วยกระจกบานใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ
Laview เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2562 สอดคล้องกับการแก้ไขตารางเวลา วิ่งระหว่างสถานี Ikebukuro และสถานี Seibu Chichibu ในจังหวัดไซตามะ สำหรับรถไฟขบวนนี้เป็นแบบระบุที่นั่ง ฉะนั้นจำเป็นต้องซื้อตั๋วรถด่วนพิเศษก่อนใช้บริการนะคะ
(สำหรับพาส Moominvalley Park Ticket & Travel Pass ไม่รวมอยู่ในรถไฟขบวนนี้ แต่หากต้องการใช้บริการสามารถซื้อตั๋วรถด่วนพิเศษเพิ่มได้ ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราครั้งนี้คือสถานี Hanno จึงชำระเพิ่มคนละ 600 เยนค่ะ)
- ตรวจสอบตารางค่าโดยสารได้ที่นี่:https://www.seiburailway.jp/en/railway/limitedexpress/
- สามารถซื้อตั๋วโดยสารรถไฟด่วนพิเศษล่วงหน้าได้ที่:https://www.smooz.jp/Smooz/en/top.xhtml
จุดเด่นของ Laview คือด้านนอกมีดีไซน์สุดทันสมัยด้วยอลูมิเนียมสีเงินที่สั่งทำพิเศษตัดกับที่นั่งสีเหลืองอันสะดุดตา โดยเก้าอี้ได้รับการออกแบบให้เหมือนกับโซฟาตามคอนเซ็ปต์ มาพร้อมกับความกว้างของที่นั่งที่แม้แต่คนตัวสูงเองก็สามารถยืดขาได้สบาย และจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือหน้าต่างที่กว้างมากให้ความรู้สึกโล่งปลอดโปร่ง สามารถชมวิวและสัมผัสบรรยากาศโดยรอบได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญมีให้บริการ WiFi ภายในรถไฟด้วยนะคะ
การเดินทางจากสถานี Ikebukuro ไปยังสถานี Hanno ใช้เวลา 38 นาที เมื่อเราออกจากสถานีแล้วให้ออกทางออกทิศเหนือ (North Exit) จากนั้นเราจะเปลี่ยนไปนั่งรถบัสกันต่อเพื่อไปยังหมู่บ้านมูมินกัน สำหรับป้ายรถบัสหน้าสถานีก็หาไม่ยากเลยค่ะ เพราะที่ป้ายมีการตกแต่งเป็นลายมูมินสุดแสนน่ารักคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว เห็นแค่แว๊บเดียวก็รู้เลยไม่มีหลงทางแน่นอน
ระยะทางจากสถานี Hanno ไปยังหมู่บ้านมูมินใช้เวลาประมาณ 13 นาที โดยเราจะต้องลงที่ป้ายชื่อว่า Metsä และสำหรับวิธีใช้พาสก็เหมือนกับตอนขึ้นรถไฟ เพียงแค่เราโชว์พาสให้คนขับรถดูตอนจะลงจากรถเท่านั้นเองค่ะ
ผจญภัยไปกับโลกของหมู่บ้านมูมินสุดน่ารักที่ MOOMINVALLEY PARK
ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึง “Metsä” ซึ่งขอเล่าที่มาก่อนว่าคำว่า Metsä นั้นเป็นภาษาฟินแลนด์ที่แปลว่า “ป่า” ที่นี่เป็นธีมพาร์คขนาดใหญ่ถึง 73,000 ตารางเมตร ที่มาในคอนเซ็ปต์สถานที่ที่คุณสามารถผ่อนคลายท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศของยุโรปตอนเหนือได้ในญี่ปุ่น ที่นี่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ MOOMINVALLEY PARK และ Metsä Village สำหรับฝั่ง Metsä Village จะมีบรรยากาศสไตล์พื้นบ้านแถบสแกนดิเนเวีย (ยุโรปเหนือ) มีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกและกิจกรรมเวิร์กชอปต่างๆ
ความรู้สึกเมื่อมาถึงคือรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายมากๆ กับการได้เดินเล่นท่ามกลางป่าที่ล้อมรอบ ระหว่างทางเองก็มีร้านค้า และจุดถ่ายรูปให้ได้แวะเก็บภาพกันเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทาง ยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่ขอแนะนำเลยค่ะ เพราะต้นไม้ตลอดสองข้างทางที่เดิมทีเป็นสีเขียวชอุ่มจะเปลี่ยนเป็นสีส้มสีเหลืองสีแดง สวยงามอลังการอย่างแน่นอน
เราใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีก็จะพบกับจุดถ่ายรูปบริเวณหน้าทางเข้าของ MOOMINVALLEY PARK
ทุกคนทราบไหมคะว่าจริงๆ แล้วน้องมูมินนั้นเป็นคาแรคเตอร์ที่ไม่ได้สร้างขึ้นในประเทศญี่ปุ่นนะ ผู้รังสรรค์คาแรคเตอร์แสนน่ารักนี้มีชื่อว่าตูเว ยานซอน (Tove Jansson) เป็นชาวฟินแลนด์นั่นเองค่ะ แต่ด้วยความตัวกลมสีขาวนุ่มฟูของเจ้า Moomintroll นี้และความแสนซนของผองเพื่อนทำให้คาแรคเตอร์เรื่องมูมินได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในญี่ปุ่นจนมาถึงทุกวันนี้
สำหรับใครที่มีพาสก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่มเติม แค่นำพาสไปโชว์ให้สต๊าฟดูก็สามารถเดินเข้าไปได้แบบสวยๆ เลย ภายในโซน MOOMINVALLEY PARK นี้ประกอบไปด้วยบ้านมูมิน (Moominhouse) ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กหลักของที่นี่ โรงละคร ร้านค้าและเครื่องเล่นอีกหลายอย่าง เรียกได้ว่าเป็นจุดที่พลาดไม่ได้สำหรับแฟนๆ มูมินเลย หรือใครที่ชอบถ่ายรูปจะต้องชอบมากแน่ๆ เพราะมีมุมน่ารักๆ อีกเพียบ!
โดยปกติแล้วคาแรกเตอร์ของมูมินและผองเพื่อนจะแวะออกมาโชว์ตัวอยู่เป็นระยะๆ ขึ้นอยู่กับดวงเลยค่ะว่าช่วงเวลาไหนจะได้เจอใคร แถมไม่ว่าจะคาแรกเตอร์ไหนทุกคนก็คีพลุคได้ราวกับเป็นคาแรกเตอร์นั้นจริงๆ
โชคดีมากวันที่เราไปถึงมีโอกาสได้เจอกับน้องมูมินที่ออกมาทักทายแฟนๆ พอดี ไหนๆ เราก็มี Moominvalley Park Ticket & Travel Pass อยู่แล้ว ครั้งนี้เลยไปขอลายเซ็นน้องมาเป็นที่ระลึกกันดีกว่า
หลังจากที่ฟินไปกับการได้ลายเซ็นของมูมินแล้ว เราจะพาทุกคนไปทัวร์ต่อที่บ้านมูมินกันโดยบ้านสีฟ้าหลังคาอิฐสีแดงแสนน่ารักนี้ถอดแบบมาจากภาพวาดและเรื่องเล่าในหนังสือเลย
บ้านมูมินจะแบ่งเป็นทั้งหมด 3 ชั้น ได้แก่ ชั้นใต้ดินเป็นห้องเก็บของ ชั้น 1 เป็นห้องครัวและห้องทานอาหาร ชั้น 2 เป็นห้องนั่งเล่นและห้องคุณพ่อและคุณแม่มูมิน
ชั้น 3 เป็นห้องของมูมินและห้องลิตเติ้ลมาย (เด็กผู้หญิงผมแดงตัวเล็ก) และห้องรับรองแขก สำหรับรูปภาพด้านบนนี้ก็เป็นห้องของมูมินคาแรกเตอร์หลักของเรื่องนั่นเองค่ะ
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือน MOOMINVALLEY PARK ก็คือการชมการแสดงสดจากเหล่ามูมินและผองเพื่อนในโรงละคร Oshun Oxtra อย่างใกล้ชิด ครั้งนี้เราก็ได้ชมการแสดงเรื่อง “The Girl Who Learned Courage – From the Friends of Moominvalley” โดยเหล่านักแสดงจะคอยสร้างสีสันให้เราไม่รู้สึกเบื่อหรือละสายตาไปจากการแสดงได้เลย ใครที่เป็นแฟนมูมินจะต้องกรี๊ดสลบแน่ๆ
หลังจากที่ผจญภัยกันไปหลายจุดแล้วเราขอแวะพักรับประทานข้าวกันก่อน โดยเมนูของที่นี่ก็มีหลากหลายที่ตกแต่งมาในคอนเซ็ปต์มูมินแสนน่ารัก ไม่ว่าจะเป็น เมนูอาหารจานหลักอย่างข้าวห่อไข่ ข้าวเนื้ออบราดซอส ข้าวแกงกะหรี่ผักโขม เป็นต้น (หากใครที่เดินทางมากับน้องๆ หนูๆ ก็สามารถสั่งเป็นเซ็ตอาหารสำหรับเด็กได้เช่นเดียวกัน)
เมื่อเติมพลังกันเสร็จแล้วเราจะไปต่อกันที่โซน Indoor กันบ้างดีกว่ากับโซน KOKEMUS เป็นโซนจัดนิทรรศการที่มีความยิ่งใหญ่ถึง 3 ชั้นให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสประสบการณ์เสมือนหลุดเข้ามาอยู่ในโลกแห่งเรื่องราวของมูมินได้ด้วยตัวเอง
ภายในห้องนิทรรศการนั้นนอกจากจะเต็มไปด้วยจุดถ่ายรูปมากมายแล้วยังมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาของมูมินและนักเขียนที่แม้แต่ใครที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับมูมินมาก่อนก็สามารถสนุกไปกับผลงานต่างๆ ได้
หลังจากที่เดินเล่นกันเสร็จแล้ว ขอแนะนำให้แวะไปยังโซนจำหน่ายของที่ระลึกที่ชั้น 1 เลยค่ะ ที่นี่มีทั้งสินค้าออริจินัลหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับคาแรกเตอร์มูมินและผองเพื่อนมากมาย เชื่อว่าหากใครได้หลงเข้ามาแล้วจะต้องมีของติดไม้ติดมือกลับบ้านไปแน่นอน
ช็อปกระจายกันต่อที่เอาท์เล็ตขนาดใหญ่ Mitsui Outlet Park สาขา Iruma
ทริปเที่ยวไซตามะของเราจะยังไม่จบเพียงเท่านี้นะคะ เพราะจุดต่อไปที่เราจะแนะนำจะต้องถูกใจขาช็อปทั้งหลายแน่ๆ กับ MITSUI OUTLET PARK IRUMA ห้างเอาท์เล็ตศูนย์รวมร้านค้าขนาดใหญ่มีที่ตั้งอยู่ในเมืองอิรุมะ (Iruma) นั่นเองค่ะ
สำหรับวิธีการเดินทางจาก MOOMINVALLEY PARK นั้นก็ไม่ยากเลย แค่เราต้องนั่งรถบัสกลับไปยังสถานี Hanno ก่อน จากนั้นให้ขึ้นรถไฟเซบุสายอิเคะบุคุโระที่มุ่งหน้าไปยังอิเคะบุคุโระ ไปยังสถานี Irumashi ใช้เวลาเพียง 8 นาทีเท่านั้น (สามารถใช้พาสได้)
หลังจากที่ออกมาจากสถานีทางออกทิศใต้แล้วให้เราข้ามถนนไปรอรถบัสที่ป้ายหมายเลข 2 เพื่อต่อรถบัสใช้เวลาประมาณ 10 นาทีไปลงที่ป้าย MITSUI OUTLET PARK IRUMA ก็จะถึงบริเวณหน้าเอาท์เล็ตพอดีค่ะ (ในส่วนของเส้นทางรถบัสไปเอาท์เล็ตจะไม่รวมอยู่ในพาส ดังนั้นจำเป็นต้องเสียค่ารถบัสคนละ 200 เยน)
จุดเด่นของ MITSUI OUTLET PARK IRUMA คือมีร้านค้าประมาณ 200 ร้านตั้งแต่สินค้าแบรนด์เนม สินค้าแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า สินค้าสปอร์ต สินค้าแนวไลฟ์สไตล์หรือกิจกรรมเอาท์ดอร์ อุปกรณ์แต่งบ้านต่างๆ รวมไปถึงร้านอาหารและคาเฟ่อีกมากมายที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทุกเพศและทุกวัยสามารถเดินกันได้ทั้งวันเลยทีเดียว แต่ก่อนที่เราจะไปแนะนำร้านค้าที่น่าสนใจ เราจะพูดถึงสิทธิพิเศษของชาวต่างชาติที่มี Moominvalley Park Ticket & Travel Pass กันก่อนดีกว่า
สำหรับใครที่มี Moominvalley Park Ticket & Travel Pass เราขอแนะนำให้ไปที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ชั้น 1 (Information Center) ก่อนเลยค่ะ เพราะเพียงแค่นำพาสไปโชว์ให้กับสต๊าฟฝ่ายประชาสัมพันธ์ เราก็จะได้คูปองส่วนลดสุดพิเศษ 500 เยน (เมื่อซื้อสินค้าราคา 5,000 เยนขึ้นไป) มาใช้กันแบบฟรีๆ สิทธิพิเศษดีๆ แบบนี้ไม่ควรพลาดเลยนะ เมื่อพร้อมแล้วเราไปเริ่มช็อปปิ้งกันเลยดีกว่า ไปดูกันว่ามีร้านไหนที่น่าสนใจบ้าง
1. DR.CI:LABO : แบรนด์เวชสำอางจากญี่ปุ่นที่คิดค้นและพัฒนาโดยแพทย์ผิวหนัง
ใครที่เป็นแฟนสกินแคร์แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นล่ะก็คาดว่าน่าจะเคยได้ยินชื่อ “DR.CI:LABO” กันมาบ้างนะคะ ซึ่ง DR.CI:LABO (อ่านว่า “ดร.ซี:ลาโบะ”) เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งโดยแพทย์ผิวหนังที่มีชื่อเสียงชาวญี่ปุ่นโดย Dr. Yoshinori Shirono
จุดเด่นคือผลิตภัณฑ์ของแบรนด์จะไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม แอลกอฮอล์ สี น้ำมันแร่ ปิโตรเลียมเจล เป็นต้น ใครที่มีสภาพผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้งานได้ เพราะมีความอ่อนโยนต่อทุกสภาพผิว แบรนด์นี้ได้รับความนิยมมากๆ ในหมู่สาวๆ ญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ไปจนถึง 40 ปีเลยค่ะ
2. Francfranc Bazar : แหล่งรวมไอเดียของใช้ในบ้านและของใช้กระจุกกระจิก
Francfranc (อ่านว่า “เฟรนช์เฟรนช์”) เป็นแบรนด์ที่เปิดตัวเมื่อปี 1990 มีสาขามากมายกระจายอยู่ทั้งญี่ปุ่นและไต้หวันสินค้าภายในร้านมีทั้งสินค้าไอเดีย ของแต่งบ้านเก๋ๆ ของใช้ในชีวิตประจำวัน และอีกมากมายที่โดดเด่นในเรื่องของดีไซน์และราคาที่คุ้มค่ากับคุณภาพ
ครั้งนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับสินค้าขายดีฮอตฮิตในญี่ปุ่นอย่างพัดลมพกพาที่บอกเลยว่าเหมาะกับอากาศเมืองไทยสุดๆ ยิ่งหากใครได้มีโอกาสมาเยือนญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนล่ะก็จะต้องมองเห็นคนใช้พัดลมพกพากันอย่างแน่นอน และด้วยความสินค้าสไตล์ญี่ปุ่นมีทั้งดีไซน์และสีน่ารักๆ ให้ได้เลือกอีกเพียบ ลองซื้อติดไม้ติดมือกลับไปใช้ที่ไทยก็ไม่เลวนะคะ
3. PLAZA OUTLET : ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ด เครื่องสำอาง รวมทุกสรรพสิ่งตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ
PLAZA (อ่านว่า “พลาซ่า”) เป็นร้านที่หากใครได้มาเยือนญี่ปุ่นอาจจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะตามห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟในจุดท่องเที่ยวต่างๆ PLAZA เองก็มีลักษณะคล้ายร้านที่เราได้แนะนำไปก่อนหน้านั่นก็คือมีการจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นของแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้าหรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยวที่เรียกได้ว่ามีทุกอย่างในราคาที่สามารถจับต้องได้
อีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบก็คือที่นี่เองก็มีเครื่องสำอางที่น่าสนใจวางจำหน่ายไม่ต่างอะไรกับร้านขายยาทั่วไปเลย แถมยังมีสินค้าหรือของเล่นแปลกๆ ที่น่าสนใจด้วยอีกเพียบ ขอแนะนำให้แวะมาเดินเล่นกันดูนะคะ ไม่ว่าจะซื้อใช้เองหรือซื้อเป็นของที่ระลึกก็เหมาะทั้งคู่เลยค่ะ
4. Zwilling Group : แบรนด์เครื่องครัวระดับพรีเมียมที่ไม่ควรพลาด
Zwilling (อ่านว่า “สวิลลิ่ง”) เป็นแบรนด์เครื่องครัวเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแบรนด์หนึ่ง โดยที่เอาท์เล็ตแห่งนี้ได้วางจำหน่ายสินค้าในเครือ Zwilling ทั้งหมด ใครที่ชอบทำอาหารไม่ควรพลาดเลยค่ะเพราะที่นี่มีอุปกรณ์ทำครัวที่ใช้วัสดุคุณภาพสูง ไม่ว่าจะเป็นมีด MIYABI Made in Japan ที่มาพร้อมกับดีไซน์อันโดดเด่นสื่อถึงเอกลักษณ์ของความเป็นญี่ปุ่น เป็นต้น
5. Champion : เอาใจสายสตรีทด้วยแบรนด์ดังส่งตรงจากอเมริกา
Champion (อ่านว่า “แชมเปี้ยน”) เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่คาดว่าไม่มีใครน่าจะไม่รู้จัก เพราะเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกเลย จุดเด่นของเสื้อผ้าแบรนด์นี้คือเน้นความเป็นสปอร์ตที่สามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาส แถมแบรนด์นี้จริงๆ แล้วยังมีอายุยาวนานกว่า 100 ปีอีกด้วยนะคะ จึงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำสตรีทแฟชั่นยอดฮิตเลย
สำหรับ Champion ที่เอาท์เล็ตนี้เองก็มีความพิเศษคือมีสินค้า Limited Edition ที่มีสามารถหาซื้อได้เฉพาะในเอาท์เล็ตเท่านั้น! สำหรับคอลเลกชั่นนี้ของสาวๆ นอกจากจะมีดีไซน์สีสันสดใสน่ารักสุดๆ แล้ว คุณภาพของเนื้อผ้าและความทนทานของสินค้าเองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ผู้ชายหรือผู้หญิง แบรนด์ Champion นั้นมีสินค้าหลากหลายสไตล์ที่สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ
6. MACCHA HOUSE : คาเฟ่มัจฉะที่จะทำให้คนรักชาเขียวต้องใจละลาย
หลังจากที่เราได้แนะนำร้านค้ากันไปเยอะแล้ว เราขอปิดท้ายกันด้วยร้านของหวานกันดีกว่าค่ะกับ MACCHA HOUSE (อ่านว่า “มัจฉะเฮาส์”) เป็นคาเฟ่ที่จำหน่ายอาหาร ของหวานและเครื่องดื่มที่เกี่ยวกับชาเขียวโดยเฉพาะ
MACCHA HOUSE ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนทำให้มีสาขามากมายอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น รวมไปถึงในต่างประเทศอย่างไต้หวันและสิงคโปร์ จุดเด่นเลยคือทางร้านใช้ชาเขียวจากเมืองอุจิ (Uji) ของเกียวโต (Kyoto) ซึ่งเป็นหนึ่งในชาเขียวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นเป็นวัตถุดิบหลัก
ครั้งนี้เราก็ได้ลองสั่งเซ็ต Maccha Tiramisu ซึ่งมีการจัดแต่งจานแบบเรียบง่ายในรูปแบบกล่องไม้สี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านบนโรยผงชาเขียวแบบเข้มข้น ส่วนด้านล่างเป็นทิรามิสุที่รสชาติไม่หวานจนเกินไปเสิร์ฟคู่กับชาร้อนดื่มตัดเลี่ยน เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบรับประทานของหวานมาก
และอีกเมนูหนึ่งก็คือ Maccha Parfait ที่มาในปริมาณจุใจมีทั้งไอศกรีมรสชาเขียวเสิร์ฟคู่กับขนมโมจิ วาฟเฟิล ราดถั่วแดงและท็อปปิ้งอื่นๆ ที่ถูกใจชาวมัจฉะเลิฟเวอร์กันอย่างแน่นอน ยิ่งได้ลองทานในร้านที่ตกแต่งด้วยบรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่นแล้วยิ่งฟินเข้าไปอีกหลายเท่าเลยค่ะ
ส่งท้าย
เป็นอย่างไรบ้างคะกับแพลนเที่ยว 1 วันในจังหวัดไซตามะกับ Moominvalley Park Ticket & Travel Pass ที่เราได้นำเสนอไปในวันนี้ จังหวัดไซตามะเองยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายที่รอให้ทุกคนไปสำรวจ เราหวังว่าตัวอย่างแพลนครั้งนี้จะถูกใจทุกๆ คนและพอเป็นไอเดียในการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งถัดไป โดยเฉพาะสำหรับใครที่อยากลองไปเที่ยวญี่ปุ่นในมุมใหม่ๆ ไม่ซ้ำใครนะคะ แล้วไว้พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ
ค้นหาโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com