คู่มือเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองสำหรับการวางแผนออกทริป ไปสำรวจเมืองน่าเที่ยวและค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดในภูมิภาคต่างๆ พร้อมด้วยข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น เช่น ฤดูกาล สภาพอากาศ วิธีการเดินทาง โรงแรมที่พัก แนะนำและรวบรวมข้อมูลโดยบล็อกเกอร์ด้านการท่องเที่ยวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
แนะนำเมืองน่าเที่ยวในญี่ปุ่น
ที่เที่ยวญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์และมีความหลากหลายทั้งทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ซึ่งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ โดยสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยระบบขนส่งสาธาณะ ซึ่งเมืองน่าเที่ยวในญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากชาวไทยก็มี อาทิ
ภูมิภาคฮอกไกโด
ภูมิภาคโทโฮคุ
ภูมิภาคคันโต
ภูมิภาคชูบุ
ภูมิภาคคันไซ
ซัปโปโร (Sapporo)
เมืองซัปโปโร (Sapporo) เมืองน่าเที่ยวยอดฮิตในทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เป็นเมืองศูนย์กลางและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido) ซึ่งเป็นเกาะและภูมิภาคที่อยู่ทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาจากไทยได้อย่างสะดวกด้วยเที่ยวบินตรง เมืองนี้โดดเด่นในด้านประวัติศาสตร์จากสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ และยังมีบรรยากาศที่สวยงามในทุกฤดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาว ซึ่งทั้งเมืองจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ที่เที่ยวแนะนำในซัปโปโร
- สวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) [ดูรีวิว]
- หอคอยซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ (Sapporo TV Tower) [ดูรีวิว]
- ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโด (Former Hokkaido Government Office Building) [ดูรีวิว]
- สวนสนุกโรงงานช็อกโกแลตชิโรอิโคอิบิโตะ พาร์ค (Shiroi Koibito Park) [ดูรีวิว]
- งานเทศกาลหิมะซัปโปโร (Sapporo Snow Festival) [ดูรีวิว]
โอตารุ (Otaru)
เมืองโอตารุ (Otaru) เมืองท่าเล็กๆ ตั้งอยู่ติดกับเมืองซัปโปโร ถือเป็นเมืองที่มีความสวยงามและโรแมนติกมากแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ด้วยอาคารเก่าแก่ในสไตล์ตะวันตกซึ่งได้รับการอนุรักษ์ไว้มาจนถึงปัจจุบัน บรรยากาศในเมืองนี้จึงคล้ายกับการได้มาเที่ยวยุโรป และยังมีขนมอร่อยๆ ให้เลือกซื้ออีกหลากหลายร้าน เช่น LeTAO ที่โด่งดังในเรื่องชีสเค้ก และยังเป็นผู้ผลิตขนมของฝากยอดนิยมของญี่ปุ่นอีกด้วย
ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
เมืองฮาโกดาเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าทางตอนใต้ของเกาะฮอกไกโด ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องทัศนียภาพยามค่ำคืนอันสวยงามแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าขึ้นมาชมวิวมุมสูงของเมืองได้จากด้านบนภูเขา ภายในเมืองยังมีแลนด์มาร์คสวยๆ ให้มาเก็บภาพอีกเพียบ หากได้มาเยือนก็ต้องไม่พลาดมาลิ้มลองอาหารทะเลสดอร่อย และร้านเบอร์เกอร์เจ้าดังอย่าง Lucky Pierrot
เซนได (Sendai)
เมืองเซนได (Sendai) เป็นเมืองหลักในจังหวัดมิยางิ (Miyagi) และยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) สถานที่ท่องเที่ยวซึ่งได้รับความนิยมภายในเมืองโดยมากนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ส่วนนอกเมืองก็มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันหลากหลาย ส่วนอาหารที่ห้ามพลาดของเมืองนี้เลยก็คือ “ลิ้นวัว” ที่โด่งดังไปทั่วญี่ปุ่นนั่นเอง
ฟุคุชิมะ (Fukushima)
จังหวัดฟุคุชิมะ (Fukushima) ตั้งอยู่ที่ตอนใต้สุดของภูมิภาคโทโฮคุ เปรียบเสมือนประตูสู่ภูมิภาคนี้ หลายคนอาจจะรู้จักว่าเป็นจังหวัดที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่จังหวัดนี้มีธรรมชาติที่งดงามมากแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และยังมี แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อีกมากมาย ที่สำคัญคือสามารถมาเที่ยวได้อย่างปลอดภัย
ฮิโรซากิ (Hirosaki)
เมืองฮิโรซากิ (Hirosaki) ตั้งอยู่ในจังหวัดอาโอโมริ (Aomori) ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของภูมิภาคโทโฮคุ แม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดก็คือ “ปราสาทฮิโรซากิ” ซึ่งเป็นจุดที่ติดหนึ่งในสถานที่ชมซากุระที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวคือการเก็บแอปเปิ้ลซึ่งเป็นผลผลิตขึ้นชื่อของจังหวัด
ที่เที่ยวแนะนำในฮิโรซากิ
- ปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) [ดูรีวิว]
- สวนแอปเปิ้ลฮิโรซากิ (Hirosaki Apple Park)
โตเกียว (Tokyo)
กรุงโตเกียว (Tokyo) เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น และเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของหลายๆ คนที่จะต้องมาเยือน เพราะเป็นเมืองที่มีความทันสมัย เป็นระเบียบ มีการเดินทางที่สะดวกสบาย และมีแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งช้อปปิ้งให้เลือกหลากหลาย ซึ่งกระจายอยู่ในย่านต่างๆ เช่น ชินจูกุ ชิบูย่า ฮาราจูกุ อุเอโนะ อาซากุสะ อิเคบุคุโระ อากิฮาบาระ รปปงงิ กินซ่า
ที่เที่ยวแนะนำในโตเกียว
- วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) [ดูรีวิว]
- ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) [ดูรีวิว]
- ถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street) [ดูรีวิว]
- หอคอยโตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower)
- หอคอยโตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree) [ดูรีวิว]
- สวนอุเอโนะ (Ueno Park) [ดูรีวิว]
- สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden) [ดูรีวิว]
- เกาะโอไดบะ (Odaiba) [ดูรีวิว]
- สวนสนุกโตเกียวดิสนีย์แลนด์ (Tokyo Disneyland) [ดูรีวิว]
- สวนสนุกโตเกียวดิสนีย์ซี (Tokyo DisneySea) [ดูรีวิว]
โยโกฮาม่า (Yokohama)
เมืองโยโกฮาม่า (Yokohama) เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) โดยอยู่ติดกับกรุงโตเกียว เมืองนี้มีประชากรอาศัยมากเป็นอันดับที่ 2 ของญี่ปุ่น และยังใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวไม่ถึงชั่วโมง ถือได้ว่าเป็นเมืองที่เจริญมากๆ พรั่งพร้อมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเอนเตอร์เทนเมนท์ ศูนย์การค้า จุดชมวิว สวนสนุกและพิพิธภัณฑ์
ที่เที่ยวแนะนำในโยโกฮาม่า
- ย่านมินาโตมิไร (Minato Mirai)
- ย่านไชน่าทาวน์ โยโกฮาม่า (Yokohama Chinatown)
- สวนยามาชิตะ (Yamashita Park)
- พิพิธภัณฑ์คัพนู้ดเดิ้ล (Cup Noodles Museum Yokohama)
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำฮักเคอิจิมะ (Hakkeijima Sea Paradise)
คามาคุระ (Kamakura)
เมืองคามาคุระ (Kamakura) เป็นเมืองเล็กๆ ริมทะเลในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) ที่มีสัญลักษณ์สำคัญคือ “พระใหญ่แห่งคามาคุระ” และยังเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ซึ่งเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางด้านวัฒนธรรมและทิวทัศน์ของทะเลตั้งแต่ตัวเมืองไปจนถึงเกาะเอโนะชิมะ โดยสามารถเดินทางเชื่อมกันได้ด้วยรถไฟท้องถิ่นขบวนสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ และยังสามารถนั่งรถไฟจากโตเกียวได้สะดวก จึงเป็นเมืองน่าเที่ยวของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ที่เที่ยวแนะนำในคามาคุระ
- วัดโคโตคุอิน (Kotokuin Temple)
- วัดฮาเซเดระ (Hasedera Temple)
- ศาลเจ้าสึรุงะโอกะฮะจิมังกู (Tsurugaoka Hachimangu)
- ชายหาดชิชิริกะฮามะ (Shichirigahama Beach)
- เกาะเอโนะชิมะ (Enoshima) [ดูรีวิว]
ฮาโกเน่ (Hakone)
เมืองฮาโกเน่ (Hakone) เป็นอีกเมืองน่าเที่ยวของญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ในจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการมาเที่ยวแบบ 1 วันจากโตเกียว ที่นี่มีชื่อเสียงในเรื่องการแช่บ่อน้ำพุร้อน และการล่องเรือโจรสลัดชมวิวที่สวยงามรอบทะเลสาบ พร้อมด้วยการนั่งกระเช้าลอยฟ้าชมวิวหุบเขา โดยสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ในวันที่ฟ้าเปิด และยังว่ากันว่าหากได้กินไข่ดำเพียง 1 ฟอง ที่หุบเขาโอวาคุดานิ ก็จะทำให้มีอายุยืนยาวขึ้นอีก 7 ปีเลยทีเดียว
คาวาโกเอะ (Kawagoe)
เมืองคาวาโกเอะ (Kawagoe) ตั้งอยู่จังหวัดไซตามะ (Saitama) โดยอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว จึงเป็นอีกเมืองที่นิยมไปเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ เมืองนี้ได้รับมยานามว่า “เอโดะน้อย (Little Edo)” ด้วยความที่เมืองที่มีความสัมพันธ์กับเอโดะ (ชื่อเดิมของโตเกียว) เป็นอย่างมาก ปัจจุบันก็ยังมีการอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างโบราณเอาไว้มากมาย นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศญี่ปุ่นสมัยก่อนเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคโบราณ
ที่เที่ยวแนะนำในคาวาโกเอะ
นิกโก้ (Nikko)
เมืองนิกโก้ (Nikko) ตั้งอยู่ในจังหวัดโทชิงิ (Tochigi) ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถแบ่งแหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ได้เป็น 3 โซน คือ โซนมรดกโลกซึ่งเป็นโซนที่มีศาลเจ้าและสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ โซนธรรมชาติซึ่งมีทั้งน้ำตก ทะเลสาบ และท้ายสุดก็คือโซนสวนสนุก หากจะเที่ยวให้ครบทั้งหมดทุกโซน ควรใช้เวลา 2 วันเป็นอย่างน้อย แต่หากมีเวลาเพียง 1 วัน อาจจำเป็นต้องเลือกเที่ยวบางโซน
คาวากุจิโกะ (Kawaguchiko)
ทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Lake Kawaguchiko) เป็นทะเลสาบหนึ่งใน 5 ทะเลสาบที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิ ตั้งอยู่ในจังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) แต่สามารถเดินทางมาได้สะดวกจากโตเกียว ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของญี่ปุ่นสำหรับการไปชมภูเขาไฟฟูจิ เพราะมีวิวที่สวยงาม และในเมืองยังมีสถานที่ให้เที่ยวชมอีกหลายแห่งโดยการนั่งรถบัส หรือจะเช่ารถขับก็สะดวกเช่นกัน นอกจากนี้ในบริเวณรอบๆ ก็ยังมีที่เที่ยวอีกมากมายที่เดินทางไปได้ไม่ยากและก็ชมวิวได้สวยไม่แพ้กัน
ที่เที่ยวแนะนำในคาวากุจิโกะ
- กระเช้าชมทะเลสาบคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko Mt. Fuji Panorama Ropeway) [ดูรีวิว]
- พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรีโบราณ (Kawaguchiko Music Forest Museum) [ดูรีวิว]
- สวนโออิชิ (Oishi Park) และศูนย์ท่องเที่ยว (Kawaguchiko Natural Living Center) [ดูรีวิว]
- เจดีย์แดงชูเรโต (Chureito Pagoda) [ดูรีวิว]
- ภูเขาไฟฟูจิชั้น 5 (Fuji 5th Station) [ดูรีวิว]
- หมู่บ้านน้ำใสโอชิโนะฮักไก (Oshino Hakkai) [ดูรีวิว]
นาโกย่า (Nagoya)
เมืองนาโกย่า (Nagoya) ตั้งอยู่ในจังหวัดไอจิ (Aichi) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคชูบุ มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ถือได้ว่าเป็นเมืองน่าเที่ยวในตอนกลางของของญี่ปุ่น เพราะมีแหล่งท่องเที่ยวท่องเที่ยวที่ครบครัน ทั้งปราสาท วัด ศาลเจ้า และพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ นอกจากกนี้ยังเป็นจุดตั้งต้นในการเดินทางไปเมืองอื่นๆ ของภูมิภาคนี้ เพราะเป็นศูนย์กลางในการเดินทางและมีเที่ยวบินตรงจากไทย
ที่เที่ยวแนะนำในนาโกย่า
- ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) [ดูรีวิว]
- วัดโอสึคันนง (Osu Kannon Temple) [ดูรีวิว]
- ศาลเจ้าอะสึตะ (Atsuta Shrine) [ดูรีวิว]
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนาโงย่า (Port of Nagoya Public Aquarium) [ดูรีวิว]
- หอคอยชูบุ อิเล็คทริค พาวเวอร์ มิไร ทาวเวอร์ (Chubu Electric Power MIRAI TOWER)
- พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นาโกย่า (Nagoya City Science Museum)
- สวนสนุกเลโก้แลนด์แห่งญี่ปุ่น (LEGOLAND Japan Resort)
- สวนสนุกจิบลิพาร์ค (Ghibli Park)
ทาคายาม่า (Takayama)
เมืองทาคายาม่า (Takayama) หรือฮิดะทาคายาม่า (Hida Takayama) เป็นเมืองท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงมากในจังหวัดกิฟุ (Gifu) บ้านเรือนต่างๆ ทำจากไม้และได้รับการอนุรักษ์อย่างดี แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีทั้งถนนย่านเมืองเก่าซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายและร้านสาเกขึ้นชื่อ ตลาดเช้าซึ่งเป็นแหล่งขายอาหารและสินค้าพื้นเมือง และยังมีงานเทศกาลทาคายาม่า (Takayama Matsuri) ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในงานเทศกาลที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น โดยจัดระหว่างวันที่ 14-15 เมษายน และ 9-10 ตุลาคมของทุกปี
ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go)
ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go) เป็นหมูบ้านที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu) สามารถเดินทางมาได้อย่างสะดวกด้วยรถบัสจากเมืองทาคายาม่า มีจุดเด่นคือบ้านญี่ปุ่นโบราณสไตล์ Gassho-zukuri ซึ่งมีหลังคาทรงสูงมุงด้วยหญ้าและฟางข้าว บ้านบางหลังได้เปิดให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืนได้ จุดที่ห้ามพลาดคือการขึ้นมาชมวิวมุมสูงของหมู่บ้าน และไฮไลท์ที่สำคัญก็ยังมี งานประดับไฟในช่วงฤดูหนาว (Winter Light-Up) ซึ่งจะจัดเพียงบางวันในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์
คานาซาว่า (Kanazawa)
เมืองคานาซาว่า (Kanazawa) เป็นเมืองหลักของจังหวัดอิชิคาว่า (Ishikawa) ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของทองคำ ภายในเมืองมีแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์สวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่นหลายแห่ง ทั้งปราสาทและสวนสวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น พร้อมด้วยย่านเมืองเก่า นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งขายอาหารทะเลอร่อย ๆ ให้ได้ลิ้มลอง และก็ห้ามพลาดมาลองซอฟท์ครีมปิดด้วยแผ่นทองคำเปลวที่เป็นของขึ้นชื่อของเมือง
โทยามะ (Toyama)
จังหวัดโทยามะ (Toyama) ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของเทือกเขาเจแปนแอลป์ (Japan Alps) ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงเรื่องการมาชมกำแพงหิมะและวิวเทือกเขาสูง สำหรับบรรยากาศภายในเมืองนั้นค่อนข้างเงียบสงบ สามารถนั่งรถรางเที่ยวรอบเมืองได้ นอกจากนี้ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวนอกเมืองอื่น ๆ อาทิ ทาคาโอกะ (Takaoka) และโกคายามะ (Gokayama) ที่ได้รับความนิยมอีกเช่นกัน
มัตสึโมโตะ (Matsumoto)
เมืองมัตสึโมโตะ (Mastumoto) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจังหวัดนากาโน่ (Nagano) โดยอยู่ทางตอนกลางของประเทศญี่ปุ่น สามารถเดินทางมาได้สะดวกทั้งจากฝั่งนาโกย่าและโตเกียว เมืองมัตสึโมโต้มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นที่ตั้งของปราสาทเก่าแก่ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีการเดินทางเชื่อมต่อไปยังแหล่งเที่ยวทางธรรมชาติ อาทิ เทือกเขาเจแปนแอลป์ (Japan Alps) และหุบเขาคามิโคจิ (Kamikochi) ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามตระการตา จนนักท่องเที่ยวต้องหาโอกาสมาเยือนให้ได้สักครั้ง
โอซาก้า (Osaka)
เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองหลักของภูมิภาคคันไซ (Kansai) ทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากโตเกียว และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ ภายในเมือง มีแหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารอร่อยมากมาย รวมถึงสวนสนุกระดับโลก อีกทั้งยังเดินทางในเมืองได้สะดวกด้วยรถไฟ แถมยังมีเที่ยวบินตรงมาลงที่นี่อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมมากสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย
ที่เที่ยวแนะนำในโอซาก้า
- ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) [ดูรีวิว]
- วัดชิเทนโนจิ (Shitennoji Temple) [ดูรีวิว]
- ศาลเจ้าสุมิโยชิ ไทฉะ (Sumiyoshi Taisha) [ดูรีวิว]
- ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) [ดูรีวิว]
- ย่านชินเซไก (Shinsekai) [ดูรีวิว]
- อาคารอุเมดะ สกาย บิลดิ้ง (Umeda Sky Building) [ดูรีวิว]
- อาคารอาเบะโนะ ฮารุคัส (ABENO HARUKAS) [ดูรีวิว]
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำไคยูคัง (Osaka Aquarium KAIYUKAN) [ดูรีวิว]
- สวนสนุกยูนิเวอแซล สตูดิโอ (Universal Studios Japan (USJ)) [ดูรีวิว]
- วนอุทยานแห่งชาติเมจิ โนะ โมริ มิโน (Meiji no Mori Minoo Park) [ดูรีวิว]
เกียวโต (Kyoto)
เมืองเกียวโต (Kyoto) เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่นก่อนที่จะย้ายมาที่โตเกียว จึงมีแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่หลายแห่งที่มีความงดงาม ทั้งวัด ศาลเจ้า และย่านเก่าแก่ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมามากสุดเป็นช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและช่วงซากุระบาน นอกจากนั้น เกียวโตก็ยังมีที่เที่ยวสมัยใหม่ให้ได้เที่ยวชมกันอีกด้วย
นารา (Nara)
เมืองนารา (Nara) เคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นก่อนที่จะย้ายมายังเมืองเกียวโต ที่เมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง ที่ห้ามพลาดเลยก็คือวัดพระใหญ่ และสวนที่เต็มไปด้วยกวาง ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถให้อาหารได้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกหลายแห่ง และนักท่องเที่ยวก็ยังสามารถแวะช้อปปิ้งกันได้ที่ย่านเมืองเก่าได้อีกด้วย
ที่เที่ยวแนะนำในนารา
- วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
- สวนนารา (Nara Park)
- วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji Temple)
- ศาลเจ้าคาซุงะไทฉะ (Kasuga Taisha Shrine)
- ภูเขาโยชิโนะ (Mount Yoshino)
โกเบ (Kobe)
เมืองโกเบ (Kobe) เป็นเมืองหลักของจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) คนไทยอาจจะคุ้นชื่อเมืองในเรื่องสเต๊กโกเบ แต่เมืองนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ เพราะเป็นเมืองริมทะเล และเนื่องจากโกเบเป็นเมืองท่าของญี่ปุ่นที่ค้าขายกับต่างชาติตั้งแต่สมัยอดีต จึงมีที่เที่ยวซึ่งเป็นย่านของยุโรปให้เยี่ยมชม สำหรับคนที่ชอบชมธรรมชาติก็สามารถขึ้นมาชมวิวสวยๆ บนเขาหรือจะแวะพักแช่ออนเซ็นก็ได้เช่นกัน
โอคายาม่า (Okayama)
จังหวัดโอคายาม่า (Okayama) ตั้งอยู่ใจกลางญี่ปุ่นฝั่งตะวันตกในภูมิภาคชูโกกุ (Chugoku) สามารถเดินทางมาได้สะดวกทั้งจากฝั่งภูมิภาคคันไซและคิวชู รวมทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับเกาะชิโคกุอีกด้วย ที่เที่ยวในยอดฮิตของจังหวัดมีทั้งปราสาทชื่อดัง และสวนสวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น รวมถึงเมืองโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี
ทตโทริ (Tottori)
จังหวัดทตโตริ (Tottori) เป็นจังหวัดที่มีประชากรน้อยที่สุดในญี่ปุ่น แต่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจ ที่ห้ามพลาดเลยก็คือเนินทรายซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และจังหวัดนี้ยังเป็นจังหวัดบ้านเกิดของนักเขียนการ์ตูนชื่อดัง จึงมีสถานที่ท่องเที่ยวให้แฟน ๆ ได้มาตามรอย อาทิเรื่อง “โคนันยอดนักสืบ” ที่เมืองโฮคุเออิ (Hokuei) และ “อสูรน้อยคิทาโร่” ที่เมืองซาไกมินาโตะ (Sakaiminato)
ฟุกุโอกะ (Fukuoka)
เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชู (Kyushu) และยังเป็นอีกเมืองหลักของญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทย เนื่องจากมีเที่ยวบินตรงมาลง และยังสามารถเดินทางต่อไปยังเมืองต่าง ๆ บนเกาะคิวชูได้สะดวก โดยศูนย์กลางการเดินทางและความเจริญต่าง ๆ นั้นก็อยู่ที่ย่านฮากาตะ (Hakata) สำหรับคนที่ชอบช้อปปิ้งก็ขำนำเสนอย่านเทนจิน (Tenjin) และถ้ายิ่งเป็นคนที่ชอบราเมง ที่ฟุกุโอกะก็มีร้านอร่อยๆ ให้เลือกเพียบ แถมยังเป็นแหล่งกำเนิดราเมงข้อสอบเจ้าดังของญี่ปุ่นอย่าง Ichiranอีกด้วย
ที่เที่ยวแนะนำในฟุกุโอกะ
- วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple)
- ศาลเจ้าดาไซฟุเทนมังกู (Dazaifu Tenmangu)
- ศูนย์การค้า คาแนลซิตี้ฮากาตะ (Canal City Hakata)
- ศูนย์การค้า ลาลาพอร์ต ฟุกุโอกะ (LaLaport Fukuoka)
- สวนอุมิโนะนากะมิจิ ซีไซด์ปาร์ค (Uminonakamichi Seaside Park)
คิตะคิวชู (Kitakyushu)
เมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะคิวชู (Kyushu) ในสมัยอดีตยังเป็นเมืองท่าและเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ ปัจจัยได้กลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งในทางตอนใต้ของญี่ปุ่น โดยมีที่เที่ยวที่น่าสนใจทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ
ที่เที่ยวแนะนำในคิตะคิวชู
- ปราสาทโคคุระ (Kokura Castle)
- ท่าเรือโมจิโกะ (Mojiko Port)
- สวนวิสทีเรีย คาวาจิ ฟูจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden)
- ภูเขาซาระกุระ (Mt. Sarakura) – เคเบิลคาร์ซาระกุระยามะ (Sarakurayama Cable Car)
เบปปุ (Beppu)
เมืองเบปปุ (Beppu) เป็นเมืองในจังหวัดโออิตะ (Oita) มีชื่อเสียงมากในเรื่องของการแช่ออนเซ็นหรือบ่อน้ำพุร้อนของญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนบ่อมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก คนที่มาเที่ยวเมืองนี้จึงต้องไม่พลาด “ทัวร์บ่อนรกทั้งแปด” ซึ่งเป็นบ่อออนเซ็นมีลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยตั้งอยู่ในโซนต่างๆ ของเมือง นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วเหมาพร้อมนั่งรถบัสไปชมบ่อต่างๆ ได้
ที่เที่ยวแนะนำในเบปปุ
- ทัวร์บ่อนรกจิโกกุ เมกุริ (Jigoku Meguri)
- ภูเขาสึรุมิ (Mt. Tsurumi) – กระเช้าลอยฟ้าเบปปุ (Beppu Ropeway)
- พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโออิตะ มารีนพาเลช – อุมิทะมะโกะ (Oita Marine Palace Aquarium – Umitamago)
ยูฟุอิน (Yufuin)
เมืองยูฟุอิน (Yufuin) เมืองท่องเที่ยวน่ารักๆ ของญี่ปุ่นในจังหวัดโออิตะ (Oita) และยังขึ้นชื่อในเรื่องของออนเซ็น ภายในเมืองเต็มไปด้วยคาเฟ่และร้านค้าเก๋ๆ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสายชิลที่มาเดินเที่ยวชมบรรยากาศ และแวะชิมของอร่อยๆ พร้อมช้อปสินค้าน่ารักๆ หากเดินทางมาจากเมืองฟุกุโอกะ ก็ต้องไม่พลาดที่จะลองนั่งรถไฟท่องเที่ยวสาย Yufuin no Mori ที่สามารถชมวิวสวยๆ ได้ตลอดทาง
ที่เที่ยวแนะนำในยูฟุอิน
- ถนนคนเดินยูโนะสึโบะ (Yunotsubo Kaido)
- ยุฟุอิน ฟลอรัล วิลเลจ (Yufuin floral village)
- ทะเลสาบคินริน (Lake Kinrin)
นางาซากิ (Nagasaki)
จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki) ครั้งหนึ่งเคยถูกทิ้งระเบิดปรมาณูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนเสียหายไปเกือบทั้งเมือง ซึ่งเราสามารถไปเยี่ยมชมจุดที่ระเบิดลงได้ ปัจจุบันเมืองนางาซากิได้กลายมาเป็นเมืองที่ทิวทัศน์ยามค่ำคืนสวยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น ภายในเมืองนั้นก็มีความผสมผสานกันหลากหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสไตล์ยุโรป เนื่องจากเคยเป็นเมืองท่าที่ติดต่อค้าขายกับต่างชาติในสมัยก่อน
ที่เที่ยวแนะนำในนางาซากิ
- สวนสันติภาพนางาซากิ (Nagasaki Peace Park)
- พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum)
- สะพานแว่นตาเมกาเนะบาชิ (Meganebashi Bridge)
- ย่านไชน่าทาวน์ นางาซากิ (Nagasaki Chinatown)
- ภูเขาอินาสะ (Mt. Inasa) – กระเช้าลอยฟ้านางาซากิ (Nagasaki Ropeway)
- สวนโกเวอร์ (Glover Garden)
- สวนสนุกเฮาส์เทนบอช (Huis Ten Bosch)
ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่น (Japan / 日本) เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกในมหาสมุทรแปซิฟิก มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 日本国 [Nihon-koku] ซึ่งมีความหมายว่า “ดินแดนต้นกำเนิดพระอาทิตย์” หรือ “ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย”
สัญลักษณ์ที่สำคัญของญี่ปุ่นนอกจากพระอาทิตย์ซึ่งเป็นวงกลมสีแดงในธงชาติแล้ว ก็ยังมีภูเขาไฟฟูจิ (Mount Fuji) ซึ่งเป็นภูเขาสูงที่สุด และดอกซากุระ (Sakura / Cherry Blossom) ซึ่งจะบานในช่วงฤดูใบไม้ผลิและเป็นช่วงที่มีผู้คนมาชมความงามเป็นจำนวนมากทั้งชาวญี่ปุ่นเองและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
สภาพภูมิประเทศของญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นเกาะที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลรอบด้าน มีขนาดพื้นที่ประมาณ 378,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 130,000 ตารางกิโลเมตร แต่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มากกว่า 120 ล้านคนซึ่งมากกว่าประเทศไทยเกือบ 1 เท่า สำหรับเวลามาตรฐานของประเทศญี่ปุ่น คือ UTC+9 ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 2 ชั่วโมง
เกาะต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นเรียกรวมกันว่า หมู่เกาะญี่ปุ่น (Japanese Archipelago / 日本列島 [Nihon Rettou]) ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นจำนวนมากกว่า 3,000 เกาะ โดยสามารถแบ่งออกเป็นเกาะหลักๆ ได้ทั้งหมด 4 เกาะ และแบ่งย่อยเป็น 8 ภูมิภาค 47 จังหวัด ซึ่งสามารถเรียงลำดับขนาดของเกาะจากใหญ่ไปเล็กได้ดังต่อไปนี้
เกาะฮอนชู (Honshu)
เกาะฮอนชู (Honshu / 本州) เป็นเกาะหลักของญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ประกอบด้วย 5 ภูมิภาค ได้แก่ โทโฮคุ (Tohoku / 東北), คันโต (Kanto / 関東), ชูบุ (Chubu / 中部), คันไซ (Kansai / 関西) และ ชูโงกุ (Chugoku / 中国) โดยเมืองหลักๆ ของญี่ปุ่นก็ตั้งอยู่ในเกาะนี้อย่างกรุงโตเกียว (Tokyo / 東京) ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่อยู่ทางตะวันออกของเกาะ และจังหวัดโอซาก้า (Osaka / 大阪) ที่อยู่ทางตะวันตกของเกาะ
เกาะฮอกไกโด (Hokkaido)
เกาะฮอกไกโด (Hokkaido / 北海道) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 เป็นที่ตั้งของภูมิภาคและจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido / 北海道) ขึ้นชื่อเรื่องธรรมชาติ จึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนที่มีทุ่งดอกลาเวนเดอร์ และในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุม
เกาะคิวชู (Kyushu)
เกาะคิวชู (Kyushu / 九州) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้สุดของญี่ปุ่น เป็นเกาะที่ตั้งของภูมิภาคคิวชู (Kyushu / 九州) และยังรวมไปถึงหมู่เกาะโอกินาว่า (Okinawa / 沖縄) มีเมืองหลักอยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งตั้งอยู่งทางตอนบนของเกาะ
เกาะชิโคกุ (Shikoku)
เกาะชิโคกุ (Shikoku / 四国) เป็นเกาะที่ตั้งของภูมิภาคชิโคกุ (Shikoku / 四国) ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีขนาดเล็กที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ระหว่างเกาะฮอนชูและคิวชู
ข้อมูลเพิ่มเติม:
สภาพอากาศและฤดูในญี่ปุ่น
ในแต่ละฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่นนั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้มีสภาพอากาศรวมทั้งความงามทางธรรมชาติที่ไม่เหมือนกันและมีเอกลักษณ์ในแต่ละฤดู เรียกได้ว่าสามารถมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้ตลอดทั้งปีในบรรยากาศที่ไม่ซ้ำกันเลยก็ว่าได้ ยกเว้นก็แต่ที่เกาะโอกินาว่าที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศซึ่งจะมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี
❝ มาเที่ยวญี่ปุ่นฤดูไหนดี? ❞
คำถามนี้ก็ค่อนข้างตอบได้ยากเหมือนกัน ก่อนอื่นมาดูภาพรวมของแต่ละฤดูกันก่อนดีกว่า น่าจะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ฤดูในญี่ปุ่นสามารถแบ่งได้เป็น 4 ฤดู ได้แก่
ฤดูใบไม้ผลิ (Spring)
เดือนมีนาคม – พฤษภาคม
โซน | อุณหภูมิเฉลี่ย |
---|---|
พื้นที่ทั่วไป | 10 – 17 องศา |
พื้นที่อากาศหนาว | 2 – 11 องศา |
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่ต้นไม้ต่างๆ เริ่มผลิใบและออกดอก อากาศในช่วงฤดูนี้เย็นสบาย คนไทยมีวันหยุดยาวในช่วงเมษายนและพฤษภาคม จึงนิยมไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงนี้เป็นจำนวนมาก ฤดูใบไม้ผลิมีไฮไลท์อยู่ที่การชมดอกซากุระซึ่งจะเริ่มบานจากภูมิภาคคิวชูทางตอนใต้ของญี่ปุ่นประมาณกลางเดือนมีนาคม ไล่ขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ภูมิภาคฮอกไกโดประมาณปลายเดือนเมษายน ซึ่งช่วงเวลาพีคจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและสภาพอากาศ ในฤดูนี้ยังมีดอกไม้ให้ชมอีกหลากหลายชนิด เช่น ดอกบ๊วย ดอกวิสทีเรีย ดอกเนโมฟีลา ดอกชิบะซากุระ ดอกทิวลิป เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม:
ฤดูร้อน (Summer)
เดือนมิถุนายน – สิงหาคม
โซน | อุณหภูมิเฉลี่ย |
---|---|
พื้นที่ทั่วไป | 19 – 27 องศา |
พื้นที่อากาศหนาว | 15 – 22 องศา |
ต้นไม้ในช่วงฤดูร้อนนี้เป็นสีเขียวขจีสดใส เป็นช่วงฤดูแห่งความรื่นเริง เพราะมีเทศกาลเฉลิมฉลองมากมาย สภาพอากาศมีความใกล้เคียงกับประเทศไทย สามารถจัดกระเป๋าไปเที่ยวได้สบายๆ แต่แดดในหน้าร้อนของญี่ปุ่นค่อนข้างแรงและอากาศที่ร้อนอบอ้าวอาจทำให้เป็นลมได้ง่าย โดยอากาศจะร้อนมากที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคม นอกจากนั้นแล้วยังมีช่วงที่ฝนตกชุกอีกด้วยในช่วงเดือนมิถุนายน ไฮไลท์ของหน้าร้อนก็คือ งานเทศกาลดอกไม้ไฟ เทศกาลทานาบาตะ เทศกาลโอบ้ง การปีนภูเขาไฟฟูจิ การชมดอกไม้หลากสี เช่น ลาเวนเดอร์ ดอกอะจิไซ ดอกไอริส เป็นต้น
ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn)
เดือนกันยายน – พฤศจิกายน
โซน | อุณหภูมิเฉลี่ย |
---|---|
พื้นที่ทั่วไป | 16 – 21 องศา |
พื้นที่อากาศหนาว | 8 – 16 องศา |
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงท่องเที่ยวที่เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบอากาศหนาวจัดและชอบบรรยากาศที่สวยงามของใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งจะเริ่มประมาณเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนธันวาคม ในช่วงเดือนกันยายนเป็นช่วงมรสุมซึ่งจะมีพายุไต้ฝุ่นพัดเข้ามาทำให้เกิดลมแรงและฝนตกหนักติดกันหลายวันจึงเป็นช่วงที่ควรหลีกเลี่ยง หากต้องการชมใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ในแถบโตเกียว โอซาก้าหรือเกียวโต แนะนำให้มาเที่ยวช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน – อาทิตย์แรกของเดือนธันวาคม แต่ช่วงนี้ก็เป็นอีกช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวญี่ปุ่นซึ่งจะมีผู้คนมาชมความงามกันเป็นจำนวนมากเช่นกัน
ฤดูหนาว (Winter)
เดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์
โซน | อุณหภูมิเฉลี่ย |
---|---|
พื้นที่ทั่วไป | 4 – 10 องศา |
พื้นที่อากาศหนาว | -7 – 0 องศา |
ช่วงต้นเดือนธันวาคมยังเป็นช่วงรอยต่อของใบไม้เปลี่ยนสีในบางภูมิภาค หากเดินทางมาเที่ยวช่วงนี้ก็ยังได้เห็นอยู่ และตามสถานที่ต่างๆ ยังมีการประดับไฟในช่วงคริสต์มาสอย่างสวยงาม หิมะที่ญี่ปุ่นเริ่มตกตั้งแต่ประมาณปลายเดือนพฤศจิกายนขึ้นอยู่กับภูมิภาค ช่วงที่อากาศหนาวที่สุดคือช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ ถ้ามาท่องเที่ยวในช่วงนี้ ควรเตรียมพร้อมรับกับสภาพอากาศให้ดี แหล่งท่องเที่ยวที่คนนิยมไปสัมผัสหิมะ อาทิ เทศกาลหิมะซัปโปโรในจังหวัดฮอกไกโด หมู่บ้านมรดกโลกชิราคาวาโกในจังหวัดกิฟุ และไปเล่นสกีที่รีสอร์ทต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลายที่ในญี่ปุ่น
การเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น
※บางสายการบินอาจยังคงมีการยกเลิกเที่ยวบินมายังญี่ปุ่น จึงควรตรวจสอบเที่ยวบินอีกครั้ง
ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ห่างจากประเทศไทยโดยใช้เวลาในการเดินทางด้วยเครื่องบินขาไปประมาณ 6 ชั่วโมง ส่วนขากลับอยู่ที่ประมาณ 7 ชั่วโมง ปัจจุบันมีสายการบินหลายสายที่บินตรงจากประเทศไทยไปยังเมืองต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ โตเกียว (TYO), ซัปโปโร (CTS), โอซาก้า (KIX), นาโกย่า (NGO), ฟุกุโอกะ (FUK), และ โอกินาว่า (OKA) สำหรับเมืองอื่นๆ นั้นสามารถนั่งสายการบินที่ไปแวะพักเพื่อต่อเครื่องในประเทศอื่นได้ หรือต่อเครื่องบินภายในประเทศญี่ปุ่นก็ได้ ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมงขึ้นไป
ราคาค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับระหว่างไทยและญี่ปุ่นในช่วงโปรโมชั่นเริ่มที่ประมาณ 8,000 บาทสำหรับสายการบินแบบ Low Cost เช่น ไทยแอร์เอเชียเอกซ์ (Thai AirAsia X) และประมาณ 15,000 – 19,000 บาท สำหรับสายการบินแบบ Full Service เที่ยวบินตรง เช่น การบินไทย (Thai Airways), เจแปนแอร์ไลน์ (Japan Airlines) หรือประมาณ 12,000 บาท สำหรับสารการบินที่ต้องไปต่อเครื่องในประเทศอื่น เช่น สิงคโปร์แอร์ไลน์ (Singapore Airlines), เวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airlines)
การเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นมีเมืองน่าเที่ยวกระจายอยู่ในทุกภูมิภาค หากต้องการท่องเที่ยวในหลายๆ เมือง การใช้บัตรแบบเหมาจ่ายหรือที่เรียกว่ากันว่าพาส (Pass) ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าเพราะสามารถใช้เดินทางด้วยพาหนะต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัดจำนวนเที่ยว
สำหรับคนที่กลัวหลงหรือเดินทางลำบากก็มีทัวร์ญี่ปุ่นให้บริการอยู่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งสามารถเลือกเดินทางประเทศไทยซึ่งเป็นทัวร์แบบเต็มรูปแบบที่จะรวมการเดินทางในญี่ปุ่นพร้อมไกด์นำเที่ยว หรือเลือกเป็นทัวร์เสริมที่จะออกเดินทางจากเมืองหลักๆ ของญี่ปุ่นก็ได้
รถไฟ
รถไฟหลักๆ ในญี่ปุ่นมีของบริษัทรถไฟญี่ปุ่น JR (Japan Railway) ซึ่งครอบคลุมทั่วประเทศ และบริษัทของเอกชนในแต่ละท้องถิ่น ส่วนรถไฟใต้ดินจะมีให้บริการเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ เช่น โตเกียว, โอซาก้า, เกียวโต, โกเบ, ซัปโปโร, ฟุกุโอกะ เป็นต้น เวลาเดินทางข้ามเมืองนั้นจึงนิยมใช้รถไฟของ JR เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูงหรือชินคันเซ็น และรถด่วนขบวนต่างๆ
📌 ข้อมูลน่ารู้
※เช็คเที่ยวรถไฟทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์และแอปฯ ต่างๆ เช่น Google Map, Japan Travel by NAVITIME, Jorudan
※Hyperdia ที่เคยนิยมใช้กัน ปัจจุบันให้บริการเพียงแค่ระยะเวลาเดินทางโดยเฉลี่ยเท่านั้น (ไม่มีแสดงตารางเวลา)
※เช็คเวลาและจองตั๋วชินคันเซ็นแบบรายเที่ยวล่วงหน้าทางออนไลน์ได้ที่ » klook.com (ภาษาไทย)
หากต้องการเดินทางไปในหลายๆ ภูมิภาค ทางบริษัท JR ก็มีบัตรรถไฟออกมาซึ่งเรียกว่า Japan Rail Pass (JR Pass) โดยเป็นสามารถขึ้นรถไฟ รถบัสและเรือเฟอร์รี่ของบริษัท JR ได้อย่างไม่จำกัดเที่ยว ภายในระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนั้น ก็ยังมีพาสย่อยๆ ในแต่ละภูมิภาคให้เลือกอีกมากมาย
รถบัส
การเดินทางข้ามเมืองด้วยรถบัสในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างสะดวกสบาย บนรถมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันและสามารถโหลดสำภาระใต้ท้องรถได้ ที่สำคัญคือค่าโดยสารมีราคาถูกกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ แต่อาจใช้เวลาเดินทางนานกว่า นอกจากนี้นักท่องเที่ยวก็ยังนิยมใช้บริการรถบัสกลางคืน (Night Bus) สำหรับการเดินทางข้ามเมืองไกลๆ เพราะช่วยประหยัดค่าโรงแรมได้และไปถึงยังเมืองจุดหมายปลายทางในตอนเช้า
หมายเหตุ:
※จองรถบัสทางออนไลน์ได้ที่ » japanbusonline.com (ภาษาอังกฤษ), highway-buses.jp (ภาษาไทย)
สำหรับการเดินทางภายในเมืองนั้นก็มีรถประจำทางให้บริการเช่นกัน และในเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น เกียวโต โกเบ เซนได คาวากุจิโกะ ก็จะมีบริการรถบัสไปยังสถานที่ต่างๆ และจำหน่ายบัตรเหมาไม่จำกัดจำนวนเที่ยวอีกด้วย
บทความแนะนำ:
เครื่องบิน
สายการบินภายในประเทศญี่ปุ่นมีทั้งแบบ Full Service เช่น Japan Airlines, All Nippon Airways (ANA) และ Low Cost เช่น Peach Air, Vanilla Air, Jetstar Japan, Skymark เป็นต้น การเดินทางข้ามเมืองด้วยเครื่องบินนั้นมีราคาค่อนข้างถูก ยิ่งไปกว่านั้น ค่าโดยสารของสายการบิน Low Cost ในบางเส้นทางนั้นอาจจถูกกว่ารถไฟชินคันเซ็นเลยด้วยซ้ำ แต่ทั้งนี้อาจไม่คล่องตัวเท่าเพราะต้องเผื่อเวลามารอขึ้นเครื่องและโหลดกระเป๋า
บทความแนะนำ:
โรงแรมและที่พักในญี่ปุ่น
ในญี่ปุ่นนั้นมีที่พักให้เลือกหลายประเภทและหลายราคา ตั้งแต่โรงแรมแคปซูลที่เป็นห้องเล็กๆ นอนได้เพียงหนึ่งคน โฮสเทลราคาประหยัดสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ โรงแรมธุรกิจระดับ 3 ดาว ราคาไม่แพง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป โรงแรมสไตล์ตะวันตกที่มีห้องพักหรูหรากว้างสบายและเรียวกังซึ่งเป็นโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นพร้อมบ่อแช่ออนเซ็น ตลอดจนบ้านพักต่างอากาศและโฮมสเตย์ท่ามกลางธรรมชาติ รวมถึงที่พักของ Airbnb ซึ่งโดยมากเป็นห้องในอพาร์ตเมนต์พร้อมครัว สามารถทำอาหารเองได้ ราคาถูกกว่าห้องพักของโรงแรม
การตั้งงบเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ในการวางแผนค่าใช้จ่ายๆ แนะนำให้แบ่งงบในการเที่ยวญี่ปุ่นออกเป็น 6 ส่วนหลักๆ ซึ่งครอบคลุมสำหรับการใช้จ่ายตลอดทั้งทริป ทั้งแต่ค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และพ็อกเก็ตมันนี่ (หากต้องการตีเป็นเงินบาทไทย ให้ลองใช้เรทเงินเยน x 0.3)
1. ตั๋วเครื่องบินไปกลับ
หลังโควิด-19 ราคาตั๋วเครื่องบินได้ปรับสูงขึ้นมาก หากจองตั๋วในช่วงปกติที่ไม่ตรงกับช่วงเทศกาลหยุดยาวของไทยจะอยู่ที่ประมาณ
ประเภทสายการบิน | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
---|---|
Low Cost (บินตรง) เช่น Thai AirAsia X, Zip Air | 10,000 – 20,000 บาท ※ตั๋วโปรฯ เริ่ม 8,000~ |
Full Service (บินตรง) เช่น Thai Airways, Japan Airlines | 20,000 – 30,000 บาท ※ตั๋วโปรฯ เริ่ม 15,000~ |
Full Service (ต่อเครื่อง) เช่น Singapore Airlines, Vietnam Airlines | 15,000 – 25,000 บาท ※ตั๋วโปรฯ เริ่ม 12,000~ |
2. โรงแรมที่พัก (ราคาต่อคืน)
มีให้เลือกหลากหลายระดับตามความหรูและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงทำเลที่ตั้งและช่วงเวลาเข้าพัก
ประเภทที่พัก | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
---|---|
โรงแรมแคปซูล | 3,000 – 5,000 เยน/คน |
โฮสเทล / เกสเฮาส์ ห้องรวม ห้องส่วนตัว | เริ่ม 2,000 เยน/ห้อง 3,000 – 5,000 เยน/ห้อง |
โรงแรมธุรกิจ (มาตรฐาน) ห้องพักคนเดียว ห้องพักสองคน | เริ่ม 5,000 เยน/ห้อง เริ่ม 7,500 เยน/ห้อง |
โรงแรมสไตล์ตะวันตก (ค่อนข้างหรู) | เริ่ม 12,000 – มากกว่า 50,000 เยน/ห้อง |
เรียวกัง (โรงแรมสไตล์ญี่ปุ่น) | เริ่ม 10,000 – มากกว่า 50,000 เยน/ห้อง |
Airbnb | เริ่ม 1,000 – มากกว่า 40,000 เยน/ห้อง |
3. ค่าเดินทางในประเทศ
มีหลากหลายรูปแบบการเดินทาง หากต้องการประหยัดแนะนำให้วางแผนท่องเที่ยวที่สามารถใช้งาน Pass ต่างๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น
ประเภทการเดินทาง | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
---|---|
พาสเดินทางข้ามเมือง JR Pass ใช้ทั่วประเทศ (7-21 วัน) JR Pass ใช้แต่ละภูมิภาค (3-7 วัน) | 50,000-100,000 เยน/คน 15,000-30,000 เยน/คน |
พาสเดินทางในเมือง Tokyo Subway Ticket (24-72 ชั่วโมง) Osaka Amazing Pass (1-2 วัน) | 800-1,500 เยน/คน 2,800-3,600 เยน/คน |
วันที่ไม่ใช้พาส (ไปนอกเหนือเส้นทางพาส) | 1,000-2,000 เยน/วัน/คน |
ขับรถเที่ยว ค่าเช่ารถ+ประกันภัย (รถนั่ง 4 คน) | 12,000 เยน/วัน/คัน |
4. ค่าเข้าชมสถานที่
ให้คำนวณจากสถานที่ที่จะไปเพื่อจะได้ทราบค่าใช้จ่ายที่แน่นอน โดยมากแล้วค่าเข้าสถานที่ต่างๆ จะอยู่ที่ตัวเลขโดยประมาณตามตัวอย่างดังนี้
ประเภทสวนสถานที่ | ค่าเข้าชมโดยประมาณ |
---|---|
สวนสนุกใหญ่ๆ เช่น Tokyo Disneyland, USJ | 8,000-10,000 เยน/คน |
พิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆ / จุดชมวิวต่างๆ เช่น KAIYUKAN, TOKYO SKYTREE | 2,500-3,000 เยน/คน |
พิพิธภัณฑ์เล็กๆ/ วัดและศาลเจ้า / ปราสาท เช่น Kiyomizu Temple, Osaka Castle | 300-1,000 เยน/คน |
5. ค่าอาหาร
อาจจะเตรียมไปโดยคำนวณคร่าวๆ อยู่ที่ประมาณ 4,000 เยน/วัน หากต้องการรับประทานอาหารแพงๆ ควรเตรียมเงินไปเผื่อนอกเหนือจากนี้
ประเภทอาหาร | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
---|---|
อาหารทั่วไป / จานด่วน+เครื่องดื่ม | 1,000 เยน/มื้อ |
อาหารทะเล / เป็นเซ็ต+เครื่องดื่ม | 1,500 เยน/มื้อ |
บุฟเฟต์ปิ้งย่าง (เนื้อธรรมดา) | 3,000 เยน/คน |
น้ำเปล่า / ชาเขียว / น้ำผลไม้ / น้ำอัดลม | 100-200 เยน/ขวด |
ขนม/ของว่าง | เผื่อไว้ 1,000 เยน/วัน |
6. ค่าช้อปปิ้ง
ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ยกตัวอย่างเช่น
ประเภทของฝาก | ราคาโดยประมาณ |
---|---|
ขนมของฝากในสนามบิน | 1,000-2,000 เยน/กล่อง |
ขนมทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อ | 100-500 เยน/กล่อง,ถุง |
กระเป๋าเป้ทรงยอดฮิต | 5,000-6,000 เยน/ใบ |
รองเท้าผ้าใบลำลอง | 10,000-20,000 เยน/คู่ |
เครื่องสำอางในร้านขายยา | 1,000-3,000 เยน/ชิ้น |
ไปญี่ปุ่นต้องเตรียมอะไรบ้าง (ปี 2024)?
ในการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นปี 2024 มีข้อมูลที่ต้องเตรียมและขั้นตอนในการเข้าประเทศที่ควรทราบดังนี้
ขั้นตอนการเดินทางเข้าประเทศ
1. ทำพาสปอร์ต
ให้ทำพาสปอร์ตในกรณีที่
- ยังไม่เคยมีพาสปอร์ตมาก่อน
- พาสปอร์ตเล่มเดิมหมดอายุไปแล้ว
- พาสปอร์ตมีอายุเหลือน้อยกว่า 6 เดือน
หมายเหตุ:
- บางสายการบินจะไม่อนุญาตให้คนที่พาสปอร์ตที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือนขึ้นเครื่องบิน
- หากต้องการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเกิน 15 วัน ต้องไปยื่นขอวีซ่าระยะสั้น
2. ลงทะเบียนล่วงหน้าที่ Visit Japan Web
ในตอนขาเข้าประเทศญี่ปุ่นจะมีกระบวนการสำคัญ 3 กระบวนการ คือ ด่านกักกันโรค (Quarantine), การตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) และศุลกากร (Customs) ซึ่งผู้เดินทางสามารถลงทะเบียนกรอกข้อมูลทางออนไลน์ก่อนได้ เพื่อความรวดเร็วในการเข้าประเทศ แล้วจะได้เป็น QR Code สำหรับนำไปแสดงตามจุดต่างๆ ที่สนามบิน (หากไม่ลงทะเบียนก่อนจะต้องมากรอกเป็นกระดาษ) โดยมีขั้นตอนดังนี้
ก่อนขึ้นเครื่องบินมายังญี่ปุ่น
ให้ลงทะเบียนเว็บไซต์ Visit Japan Web » https://www.vjw.digital.go.jp/ (※ต้องเป็นเว็บไซต์เท่านั้น โปรดระวังแอปฯ หลอกลวง)
- ขั้นตอน 0: สร้าง Account ใหม่สำหรับไว้ใช้ Login (※ต้องใช้อีเมล)
- ขั้นตอน 1: ลงทะเบียนข้อมูลของผู้เดินทาง (※ต้องใช้พาสปอร์ต)
- หมวดหมู่ของขั้นตอนการเข้าประเทศ
- ข้อมูลพาสปอร์ต (เลขพาสปอร์ต, ชื่อ, สัญชาติ, วันเกิด, วันหมดอายุ)
- ข้อมูลทั่วไป (อาชีพ, ประเทศ, เมือง)
- ขั้นตอน 2: ลงทะเบียนกำหนดการเดินทาง
- วันที่เดินทางมาถึง
- สายการบินและหมายเลขเที่ยวบิน
- ที่พัก (ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์)
- ขั้นตอน 3: ลงทะเบียนข้อมูลที่จำเป็นในกระบวนการเข้าประเทศ ได้แก่
- Quarantine (ถ้าไม่มีอาการป่วยให้ตอบ No)
- Immigration clearance and Customs declaration
หมายเหตุ:
- สามารถลงทะเบียนทางเว็บไซต์หรือไม่ลงก็ได้ โดยสามารถกรอกในใบสีเหลือง 2 ใบที่แอร์ฯ แจกบนเครื่องบินหรือที่สนามบินได้เช่นกัน
- ปัจจุบันบางสายการบินไม่แจกใบสีเหลืองบนเครื่องบินให้แล้ว ต้องมากรอกก่อนผ่านตม. ซึ่งอาจทำให้เสียเวลา
※ตั้งแต่ 29 เมษายน 2566 ไม่ต้องลงทะเบียนใบรับรองการฉีดวัคซีนโควิดและใบรับรองผลตรวจโควิดเป็นลบออกเดินทางแล้ว
เมื่อถึงสนามบินที่ญี่ปุ่น
ขั้นตอน 4: หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จ จะได้รับ QR Code ให้นำไปแสดงที่
- ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) สำหรับข้อมูล Immigration (Disembarkation Card)
- ด่านศุลกากร (Customs) สำหรับข้อมูล Customs Declaration
หมายเหตุ:
- ตั้งแต่ 25 มกราคม 2567 เวลาตี 3 (ของญี่ปุ่น) ระบบได้รวม QR Code เหลือเพียงโค้ดเดียวเท่านั้น
※หากลงทะเบียนก่อนเวลานี้ QR Code แบบเดิม (ที่มี 2 โค้ด) จะใช้งานไม่ได้แล้ว
※ควรตรวจสอบ QR Code ว่าเป็นแบบใหม่ (ที่รวมกันเหลือ 1 โค้ด) หรือไม่ ก่อนนำไปสแกนที่สนามบิน - ตั้งแต่ 29 เมษายน 2566 ไม่ต้องแสดงหน้าจอสีฟ้าที่ Quarantine(Fast Track) แล้ว
- ตั้งแต่ 28 ธันวาคม 2565 ไม่ต้องแสดง QR Code ที่ Quarantine(Fast Track) แล้ว
- หากกรอกข้อมูลในใบสีเหลือง Disembarkation Card ก็ให้ยื่นใบที่กรอกที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ได้
- ที่ด่านศุลกากร (Customs) จะมีแถวแยกระหว่าง QR Code และใบสีเหลือง Customs Declaration ให้ไปเข้าแถวตามที่จะใช้ยื่น
เมื่ออยู่ในญี่ปุ่น
ขั้นตอน 5: สามารถใช้ “Tax-free shopping service” โดยแสดง QR Code ที่ร้านค้า Tax-free Shop ตอนจ่ายเงิน โดยไม่ต้องยื่นพาสปอร์ตตัวจริงได้ (โดยปกติเวลาจะทำเรื่องขอคืนภาษี จะต้องแสดงพาสปอร์ตตัวจริงเท่านั้น)
หมายเหตุ:
- Tax-free shopping service เป็นบริการใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาเมื่อปี 2566 จะลงทะเบียนหรือไม่ก็ได้
- ตอนลงทะเบียนในเว็บไซต์ Visit Japan Web ต้องใช้พาสปอร์ตตัวจริง และต้องสแกน QR Code บนแสตมป์ที่ติดในพาสปอร์ตหลังจากที่ผ่านตม.
- จำกัดเฉพาะร้านค้าที่รองรับการอ่าน QR Code การยกเว้นภาษี
- ต้องสแกน QR Code ผ่านเว็บ ไม่สามารถใช้แคปเจอร์หน้าจอได้
3. ซื้อประกันเดินทาง
ควรซื้อประกันเดินทางต่างประเทศเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งหากมีประกันการเดินทาง สามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อประสานงานในการเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลในญี่ปุ่นได้
หมายเหตุ:
- บางบริษัทให้ซื้อล่วงหน้าก่อนเดินทางอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
- เบี้ยประกันสำหรับทริปญี่ปุ่น 7 วันนั้นเริ่มต้นไม่ถึงหลักพัน แนะนำให้ซื้อไว้อุ่นใจกว่าค่ะ
อ้างอิงจาก vjw-lp.digital.go.jp (อัปเดตวันที่ 25 มกราคม 2567)
รูปภาพโดย : Kzy, 5tHbeaR, สตรอเบอร์รี่น้อยฯ, Ladyduck, ミルク MilKame
ค้นหาโรงแรมที่พักในญี่ปุ่น
บทความการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
รูปภาพที่มีโลโก้และบทความในเว็บไซต์ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของ JapanKakkoii.com